ผลงานและการออกแบบของ Karl Lagerfeld
• วิสัยทัศน์ที่เปลี่ยนแฟชั่นให้กลายเป็นวัฒนธรรม
- 1 วันที่ผ่านมา
-
329
ในโลกแฟชั่นที่หมุนเวียนอย่างรวดเร็ว มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถเปลี่ยน ‘เสื้อผ้า’ ให้กลายเป็น ‘วัฒนธรรม’ ได้ และ Karl Lagerfeld คือหนึ่งในนั้น เขาไม่เพียงออกแบบ แต่ได้ชุบชีวิต เติมจิตวิญญาณ และสร้างภาพจำที่ฝังรากลึกในใจผู้คนทั่วโลก
การฟื้นฟูแบรนด์ระดับโลก
เมื่อ Karl เข้ารับตำแหน่ง Creative Director ของ Chanel ในปี 1983 เขาชุบชีวิตแบรนด์ที่เคยถูกมองว่าใกล้ตายให้กลับมามีชีวิตชีวา โดยผสมผสานตัวตนคลาสสิกเข้ากับความร่วมสมัย และยังทำให้โลโก้ Double C กลายเป็นสัญลักษณ์ที่เป็นอมตะ และสร้างรายได้มหาศาลให้กับแบรนด์
โลโก้ CC ของ Chanel ถูกออกแบบโดย Coco Chanel เริ่มใช้ในปี 1925 โดยปรากฏครั้งแรกบนขวดน้ำหอม Chanel No. 5 แรงบันดาลใจเชื่อมโยงกับหน้าต่างกระจกสีในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า Aubazine หรือ crest ที่ Château de Crémat เมืองนีซ และถูกจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในปีเดียวกัน ต่อมาในยุค Karl Lagerfeld ช่วงทศวรรษ 1980s โลโก้นี้ถูกนำมาใช้กับเสื้อผ้าและเครื่องประดับอย่างแพร่หลาย จนกลายเป็นสัญลักษณ์ไอคอนิกของแบรนด์จนถึงปัจจุบัน
ในปี 1983 แฟชั่นโชว์แรกของคาร์ล ลาเกอร์เฟลด์กับ Chanel ไม่ได้เป็นเพียงการเปิดตัว แต่คือการ “ชุบชีวิตใหม่” ให้กับแบรนด์ที่หลายคนมองว่าหมดความรุ่งเรืองไปแล้ว เขาได้ตีความ DNA ของ Chanel ขึ้นมาใหม่ด้วยมุมมองที่สดและแตกต่าง สิ่งที่ไม่ค่อยมีใครรู้คือ เขาเป็นผู้ทำให้สูททวีดอันเป็นเอกลักษณ์ของโคโค่ทันสมัยขึ้น ด้วยการปรับชายกระโปรงให้สั้นลง ทดลองใช้สีสันจัดจ้าน และเส้นด้ายโลหะ แม้จะถูกมองว่าแหวกแนวในเวลานั้น แต่กลับกลายเป็นการปฏิวัติแฟชั่นที่ส่งผลมาถึงทุกวันนี้
โชว์ครั้งนั้นได้วางรากฐานให้อนาคตของ Chanel คือการผสมผสานระหว่าง “ความคลาสสิก” และ “นวัตกรรม” และตอกย้ำสถานะของคาร์ลในฐานะหนึ่งในผู้มองการณ์ไกลที่สุดของโลกแฟชั่น
การดีไซน์ที่กลายเป็นไอคอน
แจ็กเก็ตทวีด (Tweed Jacket) ได้รับการตีความใหม่ให้ทันสมัย กลายเป็นเครื่องหมายของความหรูหราในแบบใหม่
กระเป๋าไอคอนหลายรุ่น เช่น Boy Bag, Gabrielle Bag, Diana Bag และ Hula Hoop Bag ที่ทั้งสร้างความฮือฮาและได้รับความนิยมยาวนาน และเครื่องประดับอย่างสร้อยมุกหลายชั้นประดับโลโก้ CC กลายเป็นภาพจำที่โดดเด่นในแฟชั่นโชว์
แฟชั่นโชว์สุดตระการตา
Karl เปลี่ยนแฟชั่นโชว์ให้เป็นประสบการณ์ศิลปะ เขาสร้างฉากการแสดงอลังการ เช่น การเนรมิต Grand Palais เป็นซูเปอร์มาร์เก็ตจริง ภูเขาน้ำแข็ง จรวด สนามบิน ทุกครั้งที่เปิดตัวคอลเลกชันใหม่ ล้วนสร้างความตื่นเต้นและพูดถึงไปทั่วโลก
โชว์ Fall/Winter 2010 Chanel ได้เอาภูเขาน้ำแข็งของจริงจากสแกนดิเนเวีย ที่สูง 9 เมตร และหนัก 250 ตัน มาไว้ที่แกรนด์พาเลซ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นสถานที่จัดงาน โดยต้องควบคุมอุณหภูมิให้อยู่ที่ 4 องศา
โชว์ Fall/Winter 2014 เป็นการจัดฉากในซูเปอร์มาร์เก็ต ซึ่งมีสินค้าตั้งแต่ขนมปัง ชีส นม ไปจนถึงผงซักฟอกและสีทาบ้าน โดยเมื่อโชว์จบ สินค้าที่ไม่ใช่ของสดก็จะถูกนำไปตกแต่งวินโดว์ดิสเพลย์ตอนเสื้อผ้าเข้าร้าน
โชว์ Spring/Summer 2016 จำลองสนามบิน “Aéroport de Paris-Cambon” พร้อมเคาน์เตอร์เช็กอิน เกตผู้โดยสาร และเจ้าหน้าที่ Chanel สร้างบรรยากาศเสมือนจริงให้นางแบบเดินเหมือนผู้โดยสาร สื่อถึงความหรูหราและไลฟ์สไตล์การเดินทางของผู้หญิง
โชว์ Fall/Winter 2017 เปลี่ยน Grand Palais ให้กลายเป็น สถานีอวกาศ Chanel (Chanel Space Station) จุดเด่นคือจรวด Chanel Rocket สูง 35 เมตรตั้งตกลางรันเวย์ และตอนจบโชว์ยังมีการ “ปล่อยจรวด” พร้อมไฟ แสง และควันเหมือนการออกเดินทางจริง เพราะโชว์นี้เขาอยากส่งเสื้อผ้า Chanel ไปนอกโลก
งานออกแบบที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม / เทคนิควัสดุ “eco-chic”
เขาเป็นหนึ่งในดีไซเนอร์ที่นำแนวคิดความยั่งยืนเข้ามาในแฟชั่น เช่น การใช้วัสดุรีไซเคิล ไม้ กอร์ก และฟาง ในคอลเลกชันโอต์กูตูร์ปี 2016 พร้อมฉากโชว์ที่ออกแบบอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ฉากโชว์แบบ Zen garden และบ้านไม้
Lagerfeld แปลง Grand Palais ให้กลายเป็น “สวนล้อมด้วยสนามหญ้า สระบัว และท้องฟ้าเทียม” มีบ้านไม้สามชั้นที่สร้างจากไม้โอ๊ค พร้อมทางเดินและลานหญ้าจริง โมเดลเข้าสู่ฉากผ่านทิวทัศน์สงบ ซึ่งช่วยทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนได้เข้าไปอยู่ใน “บ้านไม้กลางธรรมชาติ” หลังจบงาน ชิ้นส่วนไม้ ต้นไม้ และหญ้าถูกนำไปคัดแยกเพื่อรีไซเคิลหรือนำกลับไปทำเป็นปุ๋ย เป็นการออกแบบที่คำนึงถึงการใช้งานซ้ำของวัสดุจริงจัง
การใช้วัสดุธรรมชาติในเสื้อผ้าและการตกแต่ง
เทคนิคเด่นคือการใช้ ชิ้นไม้ชิพ (wood chips) แทนเลื่อมหรือปักตกแต่ง จัดเรียงเป็นลูกปัด, พาเยตต์ หรือ 3-D frills บนผ้าอย่างละเอียด นอกจากนี้ยังใช้ recycled paper และ organic woven yarn ในการสร้างผิวผ้าและตกแต่ง ให้ลุคดูบริสุทธิ์และเป็นธรรมชาติ
ธีมลวดลายจากธรรมชาติ และโทนสีอบอุ่น และความรู้สึก "eco-chic" ที่สมบูรณ์แบบ
ในงานปักมีลวดลายอย่าง ผึ้ง ดอกไม้ และนกไม้ สื่อถึงการนำธรรมชาติมาใช้เป็นแรงบันดาลใจเชิงสัญลักษณ์ และยังสะท้อนประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อม เช่น ประเด็นสำคัญของการอนุรักษ์ผึ้ง Lagerfeld บอกว่า “This is high-fashion ecology. It must not look like some sloppy demonstration!” คือแม้ใช้วัสดุธรรมชาติ แต่ต้องดูหรูหราสง่างาม แบบ Chanel จึงจะสมบูรณ์ แม้จะเป็นโชว์สัญลักษณ์ ไม่ได้เป็นการเปลี่ยนแปลงด้านนโยบายของแบรนด์อย่างถาวร แต่นี่คือก้าวสำคัญสู่การให้ “ความยั่งยืน” ในแฟชั่นระดับสูง
มุมมองเชิงศิลปะและงานภาพถ่าย
นอกจากแฟชั่น Karl ยังเป็นช่างภาพและศิลปิน งานถ่ายภาพของเขามักตีความแฟชั่นผ่านมุมมองศิลปะ เช่น โปรเจกต์ Menagerie de Verre และการถ่ายภาพเซเลบริตี้ในมุมมองที่ไม่เหมือนใคร ผลงานหลายชิ้นถูกจัดแสดงในแกลเลอรีและนิทรรศการระดับนานาชาติ
บุคลิกและบทสรุป
Karl Lagerfeld เป็นมากกว่าดีไซเนอร์ เขาเป็นศิลปินที่เชื่อมโยง แฟชั่น + ศิลปะ + วัฒนธรรมร่วมสมัย เขาคือผู้ที่ทำให้ Chanel กลับมาโดดเด่น เติมชีวิตให้ Fendi และสร้างแบรนด์ของตัวเองให้สะท้อนคาแรกเตอร์ชัดเจน ผลงานของเขาคือการผสมผสาน ความคลาสสิกและความโมเดิร์น ความหรูหราและความแปลกใหม่ จนเขากลายเป็นตำนานในวงการแฟชั่น
มรดกที่ Karl ทิ้งไว้ให้โลกไม่ใช่แค่คอลเลคชั่นหรือโลโก้บนกระเป๋า แต่คือวิธีคิดที่กล้าผสมผสานอดีตกับอนาคต คลาสสิกกับโมเดิร์น หรูหรากับความแปลกใหม่ หลอมรวมจนกลายเป็นตำนานที่ไม่มีวันลบเลือนในหน้าประวัติศาสตร์แฟชั่น