Mercedes-Benz

C 350 e

BY Duty editor

  • 11 กรกฏาคม 2559
  • 108,323

นับเป็นรถยนต์รุ่นที่ 2 ในตระกูล The new C-Class ที่ใช้เทคโนโลยีไฮบริดต่อจากรุ่น C 300 BlueTEC Hybrid และยังเป็นรถยนต์รุ่นที่สองของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่ใช้เทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริดอีกด้วย โดยรถยนต์รุ่นนี้มาพร้อมกับตัวถังที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของกลุ่มลูกค้า โดยมีให้เลือกสรรทั้งในแบบซีดานและเอสเตท

 

ซึ่งทั้งสองดีไซน์ได้รับการติดตั้งนวัตกรรมปลั๊กอินไฮบริด ที่โดดเด่นในเรื่องความประหยัดด้วยอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงในโหมดไฮบริดถึง 47.5 กิโลเมตร/ลิตร และปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 58 กรัม/กิโลเมตรในรุ่นซีดาน และ 54 กรัม/กิโลเมตรในรุ่นเอสเตท พร้อมด้วยการติดตั้งแบตเตอรี่ ลิเธียม-ไอออน ขนาดความจุ 6.38 กิโลวัตต์ น้ำหนักประมาณ 100 กิโลกรัม ไว้ที่ใต้เพลาขับด้านหลัง ซึ่งมีระบบหล่อเย็นจากน้ำ และฝาป้องกันการกระแทกที่ผลิตจากแผ่นโลหะปิดทับไว้ อีกชั้นหนึ่ง เพื่อให้ผู้ขับขี่ได้รับความปลอดภัยสูงสุด โดยแบตเตอรี่นี้สามารถชาร์ตไฟให้เต็มได้ภายในเวลา 3 ชั่วโมง ส่งผลให้สามารถขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า หรือ EV เพียงอย่างเดียวได้ไกลถึง 33 กิโลเมตร

 

โดยหัวใจสำคัญของการลดอัตราการใช้พลังงานในรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ไฮบริด คือ การนำพลังงานที่เกิดขึ้นจากการเหยียบแป้นเบรกหรือปล่อยให้รถเคลื่อนที่โดยไม่อาศัยพลังงานจากเครื่องยนต์มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ระบบจะนำพลังงานที่เกิดขึ้นมาเก็บไว้ในแบตเตอรี่ และระบบจะดึงพลังงานนี้มาใช้ เมื่อผู้ขับขี่ขับเคลื่อนด้วยระบบพลังงานไฟฟ้าหรือเมื่อต้องการเร่งความเร็ว

 

 

ดีไซน์ภายนอก
ยังคงรูปลักษณ์ที่โดดเด่น เร้าใจ และดูปราดเปรียวในทุกมิติตามสไตล์ The new C-Class ซึ่งมีกระจังหน้าแบบคลาสสิคที่มาพร้อมกับโลโก้เมอร์เซเดส-เบนซ์ ติดอยู่เหนือฝากระโปรงหน้าลาย 3 แถบเสริมโครเมียม พร้อมฟังก์ชั่น AIRPANEL ซึ่งสามารถเปิด-ปิดได้อัตโนมัติ เพื่อช่วยให้ค่าสัมประสิทธิ์ความเสียดทาน รวมถึงการระบายอากาศที่ดียิ่งขึ้น และไฟหน้าแบบ LED Intelligent Light System ที่มาพร้อมกับระบบไฟส่องสว่างอัจฉริยะ

 

 

 

ดีไซน์ภายใน / ห้องโดยสาร
เน้นความหรูหรา ด้วยแผงคอนโซลกลางที่สร้างเป็นชิ้นเดียวกับพนักวางแขนซึ่งถูกออกแบบอย่างทันสมัย พร้อมด้วย touchpad ที่ติดตั้งบริเวณที่พักแขน ช่วยให้ผู้ใช้ควบคุมการทำงานของอุปกรณ์เครื่องเสียง อาทิ วิทยุ-ซีดี MB Audio 20 ที่บริเวณคอนโซลได้เพียงปลายนิ้วสัมผัส

 

นวัตกรรม / เทคโนโลยี
ผู้ขับขี่สามารถเลือกโหมดการขับขี่ได้ 5 รูปแบบ คือ

  • Individual (I)
  • Sport+ (S+)
  • Sport (S)
  • Comfort (C)
  • Economy (E)

นอกเหนือจากโหมดการขับขี่ รถยนต์ The C 350 e ยังสามารถเลือกโหมดการทำงานของระบบ Plug-In HYBRIDได้ถึง 4 แบบ คือ

  • HYBRID:  การทำงานในรูปแบบนี้ รถยนต์จะถูกขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า โดยระบบจะเน้นไปที่การใช้งานมอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนให้มากที่สุด และใช้เครื่องยนต์ขับเคลื่อนเท่าที่จำเป็น หากกระแสไฟในแบตเตอรี่มีปริมาณต่ำกว่า 20 % ระบบจะใช้เครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนเท่านั้น และถ้าผู้ขับขี่ปรับเกียร์อัตโนมัติเป็นโหมดสปอร์ต (S) รถยนต์จะถูกขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เพียงอย่างเดียว มอเตอร์ไฟฟ้าจะไม่ทำงาน
  • E-MODE:  สามารถขับเคลื่อนโดยใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ(ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว)ได้จนถึงความเร็ว 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็นระยะทางสูงสุด 31 กิโลเมตรโดยไม่มีการคายไอเสีย (ขึ้นอยู่กับระดับพลังงานของแบตเตอรี่และความเร็วที่ใช้) โดยเฉพาะการขับขี่ในเมืองที่การทำงานของระบบนี้สามารถครอบคลุมการใช้งานได้เป็นอย่างดี ผู้ขับขี่จะต้องไม่กดแป้นคันเร่งจนเกินแรงต้าน หากกดแป้นคันเร่งเกินแรงต้านเมื่อใด เครื่องยนต์จะเข้ามาทำหน้าที่ในการขับเคลื่อนรถยนต์ทันที
  • E-SAVE: ในขณะที่เริ่มต้นใช้ E-SAVE ระดับกระแสไฟฟ้าที่มีอยู่ในแบตเตอรี่ high-volt ในขณะนั้นจะถูกบันทึกค่าไว้ จากนั้นระบบจะใช้เครื่องยนต์เป็นหลักในการขับเคลื่อน ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้าจะถูกใช้น้อยที่สุด เพื่อรักษาระดับกระแสไฟฟ้าในแบตเตอรี่ให้มีปริมาณเท่าเดิมกับตอนเริ่มต้น ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีการวางแผนการเดินทางล่วงหน้า ว่ากำลังจะต้องเดินทางเข้าเมืองที่มีการจราจรหนาแน่น หลังจากชาร์จแบตเตอรี่ high-volt จนเต็มแล้ว ควรเลือก E-SAVE ในการเริ่มต้นเดินทางก่อนที่จะเข้าเมือง เมื่อขับถึงในเมืองก็จะมีปริมาณกระแสไฟสูงสุดที่จะใช้ E-MODE  สำหรับการเดินทางในเมืองได้อย่างเต็มที่
  • CHARGE: การทำงานในรูปแบบนี้ รถยนต์จะถูกขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เพียงอย่างเดียว โดยแบตเตอรี่ high-volt จะถูกรักษาระดับการชาร์จให้อยู่ในระดับปานกลางในขณะขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ และจะไม่มีการใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนเลยเพื่อให้เกิดการชาร์จกระแสไฟฟ้าเข้าไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่ high-volt อย่างต่อเนื่อง แรงหมุนของเครื่องยนต์จะถูกนำมาแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้า ไปสะสมไว้ในแบตเตอรี่และจะมีการแปลงพลังงานจลน์ที่เกิดจากการชะลอความเร็วหรือการเบรกให้แปรเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้าและเก็บสะสมไว้ในแบตเตอรี่อีกด้วย เมื่อชาร์จไฟเต็ม ระบบจะปรับไปที่การทำงานในรูปแบบ E-SAVE โดยอัตโนมัติ

 

 

The C 350 e ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบแถวเรียง ความจุกระบอกสูบ 1,991 ซีซี กำลังแรงม้าสูงสุดที่ 211 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที โดยในรุ่นซีดานมีแรงบิด 350 นิวตันเมตร ที่ความเร็วรอบ 1,200-4,000 ต่อนาที อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. อยู่ที่ 5.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. ส่วนในรุ่นเอสเตท มีแรงบิด 300 นิวตันเมตร ที่ความเร็วรอบ 1,200-4,000 ต่อนาที อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. อยู่ที่ 6.2 วินาที ความเร็วสูงสุด 246 กม./ชม. ขับเคลื่อนด้วยระบบส่งกำลังแบบเกียร์อัตโนมัติ 7G-TRONIC PLUS พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย

  • The C 350 e Exclusive ราคา 2,990,000 บาท
  • The C 350 e AMG Dynamic ราคา 3,340,000 บาท
  • The C 350 e Estate AMG Dynamic ราคา 3,690,000 บาท