BOTTEGA VENETA • Winter 2024

BY METROSOCIETY

  • 02 ตุลาคม 2567
  • 6,215

อนุสรณ์ของชีวิตประจำวัน ซึ่งเปรียบเสมือนความรู้สึกเย้ายวนและความมั่นใจในความเป็นจริงอันเป็นประโยชน์และมีจุดมุ่งหมาย การรับรู้ว่าเสื้อผ้าในโลกแห่งราตรีนี้เป็นอย่างซิลูเอทที่เรียบง่ายและน่าจดจำราวกับเสาหิน (Monoliths) ในความมืดมนของโลกที่ลุกเป็นไฟ มีบางสิ่งที่ยังคงความเป็นมนุษย์ไว้ในการแต่งกายที่เรียบง่าย” Matthieu Blazy กล่าว

 

ในภูมิประเทศที่มอดไหม้และแห้งแล้ง การเดินทางครั้งใหม่ได้เริ่มต้นขึ้น ทว่านี่เป็นการปฏิวัติสำหรับครีเอทีฟไดเรคเตอร์อย่าง Matthieu Blazy ซึ่งในโชว์นี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะเร่งรัดในการคืนชีพขึ้นใหม่ให้กับสิ่งที่เป็นมา พร้อมทั้งสิ่งที่จะเกิดขึ้นโดยไม่กระทบต่อความปราณีต การปรับเปลี่ยนรูปร่าง การตัดใหม่ และการให้ความรู้สึกถึงความจำเป็นในการเริ่มต้นใหม่ สิ่งเหล่านี้คือเสื้อผ้าและเครื่องประดับสำหรับผู้ที่มีจุดมุ่งหมายและมีเป้าหมายที่ต้องการทำให้สำเร็จ

 

 

 

สำหรับซีซั่นนี้ได้มีการโอบรับพื้นว่างรอบๆ ที่จัดแสดง โดยการตกแต่งถูกจำกัดให้เหลือน้อยที่สุด ประยุกต์ใช้ความเรียบง่าย ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากต้นกำเนิดของ Bottega Veneta ในช่วงก่อนการใช้เทคนิค Intrecciato จึงมีความเรียบง่ายทางการมองเห็นโดยไม่ละทิ้งความหรูหราของสัมผัสและความรู้สึก อย่างที่เห็นได้ชัดในเนื้อผ้า โดยเฉพาะการตกแต่งซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญที่ถูกถักทอเข้ากับเนื้อผ้าของคอลเลคชั่นนี้ การพิมพ์ภาพแห่งความทรงจำแสดงให้เห็นถึงเวลาที่ผ่านไปและสิ่งที่เราดำเนินต่อไป การสานรูปทรงสมุดบันทึกแสดงถึงแนวคิดที่มีความหวังในการเขียนอนาคตขึ้นมาใหม่ ซิลูเอทจากยุคและฤดูกาลที่แตกต่างได้มารวมกันและถูกบีบอัดเพื่อสร้างสิ่งที่ชัดเจนในปัจจุบันและสิ่งที่จะเกิดขึ้น ซึ่งจะมีรูปทรงโค้งมน ปกคลุม และมีประโยชน์ใช้สอยในการปกป้องร่างกาย โดยวัสดุต่าง ๆ สะท้อนในเห็นถึงกระบวนการนี้ ผ่านการให้ความร้อนและการขึ้นรูป การต้มและการฉีกเป็นชิ้น ๆ รวมถึงผ้าวูลบูเคล่ ผ้าแคชเมียร์ และผ้า Fil Coupés ได้กลายมาเป็น วัสดุใช้งานได้จริง ยั่งยืน เรียบง่าย ราวกับเปลวไฟ

 

 

ในเวลาเดียวกัน ความซื่อสัตย์ทั้งในด้านวัตถุและซิลูเอทหมายความว่าเสื้อผ้าจะไม่แสดงให้เห็นเป็นอย่างอื่นนอกเหนือจากสิ่งที่เป็นจริง โดยมาพร้อมความเรียบง่ายในชุดเสื้อเจอร์ซีย์ ความใช้งานได้จริงในเสื้อถักแบบบุไหล่ ความจริงใจในการรังสรรค์เสื้อเชิ้ตผ้าฝ้าย พร้อมทั้งให้ความสบายและการปกป้องด้วยหนังที่อ่อนนุ่ม

 

 

เครื่องหนังชวนให้นึกถึงมรดกที่มีความสำคัญต่อวัฒนธรรมและการดำเนินชีวิตในสังคม อย่างรองเท้าหนังจระเข้ของคุณยาย กระเป๋าคลัตช์ของคุณแม่ รองเท้าอ็อกซ์ฟอร์ดของคุณพ่อ ทุกชิ้นสืบทอดมาจากยุคที่ไม่ฟุ่มเฟือยและมีความสัมพันธ์ที่มีความหมายต่อสิ่งของที่อยู่เหนือความเป็นแฟชั่น โดยยืนหยัดผ่านการทดสอบของกาลเวลา กระเป๋ารุ่นใหม่อย่างกระเป๋ารุ่น Liberta รุ่น Andiamo รุ่น Hop และ รุ่น Cabat ที่มาพร้อมหนังเรียบ สะท้อนถึงการใช้งานในชีวิตประจำวันอย่างง่ายดาย

 

สีสันยามค่ำคืนและสีสันของเปลวเพลิงได้ครอบงำพาเลทสี โดยมีสีคาร์บอนแบล็ค (Carbon Black) สีส้มไหม้ (Burnt Orange) สีเบอร์กันดี (Burgundy) สีน้ำตาล (Fondant) สีแทนเข้ม (Dark Tan)  สีมะกอกอมเหลือ (Drab Olive) สีเทาแอช (Ash Grey) สีแดง (Red) และสีขาว (White) หากมองผ่านเป็นครั้งคราวในแสงตอนกลางวัน จะเห็นได้ถึงท้องฟ้าสีครามและดวงอาทิตย์ที่ซีดเซียว ในโลกใหม่ที่มืดมนนี้ ยังคงมีแสงสว่างและความหวัง

 

ลวดลาย งู เปลวไฟ และดอกไม้เป็นหลักนำดีไซน์ที่พบบ่อย โดยสื่อถึงการฟื้นตัวและการเกิดใหม่ สามารถเห็นลายพิมพ์ดอกไม้แบบนามธรรมได้ผ่านกระโปรงชายผ้าเช็ดหน้าที่เรียงซ้อนและวัสดุสำหรับทำเชิ้ตอันเรียบง่าย ทั้งลุคได้เป็นกลายเป็นดอกไม้ไปพร้อม ๆ กับ 'ชุดดอกไม้' อันหน้าตื่นใจที่เคลื่อนไหวซึ่งประกอบไปด้วยผ้าไมโครพลิสเซ่ (Micro Plissé) ที่ตัดด้วยเลเซอร์ 'ดอกไม้ที่แห้งแล้ง' ที่เติบโตในทะเลทรายและสถานที่ที่ยากลำบากและรกร้างอื่น ๆ ขณะที่ลวดลายเปลวไฟครอบคลุมหนัง รวมถึงการเคลื่อนไหวที่เลียนแบบเชิงนามธรรมในลุคที่ทำจากผ้า Fil Coupe ซึ่งสะท้อนถึงความขัดแย้งที่พลิกผันของเปลวไฟ อีกทั้งยังมีการใช้งูเป็นทั้งลวดลายและวัสดุที่ได้เดินทางไปตลอดทั้งคอลเลคชั่น โดยครอบคลุมไปทั้งกระเป๋า ผ่านการตีความใหม่ของเข็มขัดรูปงู ไปจนถึงต่างหูลงยาแบบเกลียว

 

เครื่องประดับคับคล้ายจะเป็นชิ้นส่วนโบราณคดีแห่งโลกอนาคต โดยมีการต่อเรียงและเชื่อมโยงกับการใช้วัสดุโบราณ เช่น เซรามิก แก้ว หนัง ไม้ หินลาพิส และหินดัลเมเชียน ที่นี่แรงขับเคลื่อนได้กลายมาเป็นเส้นลวดที่ไม่มีที่สิ้นสุดและดีเทลงูได้กลืนหางของตัวเอง ให้ความรู้สึกถึงการกลับมาอย่างชั่วนิรันดร์

 

เราต่างก็ดูข่าวเรื่องเดียวกัน จึงเป็นสิ่งที่ยากที่จะเฉลิมฉลอง ณ จุดนี้ ถึงอย่างนั้นความคิดเรื่องการเกิดใหม่ก็ยังสวยงามเช่นกัน นี่คือเหล่าดอกไม้ที่บานสะพรั่งหลังจากโลกได้มอดไหม้ลง สื่อถึงความรู้สึกของความหวัง ดอกไม้เหล่านี้กลับมาอย่างแข็งแกร่งกว่าที่เคย ซึ่งความสง่างามคือความยืดหยุ่นนั้นเอง” Matthieu Blazy กล่าว