LOUIS VUITTON • Time Capsule Exhibition Bangkok

BY Staff writer Seven

  • 12 กันยายน 2560
  • 11,175

ไทม์ แคปซูล บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับหลุยส์ วิตตอง โดยคัดสรรค์ผลิตภัณฑ์ และเอกสารในอดีตที่มีอายุยาวนานกว่า 160 ปี ส่งตรงจากหอจดหมายเหตุกรุงปารีสเพื่อมาจัดแสดงที่กรุงเทพฯ (โดยประเทศไทยเป็นที่แรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้) ระหว่างวันที่ 7-25 กันยายน 2560 ณ ลานพาร์คพารากอน สยามพารากอน

 

 

 

นิทรรศการนี้สะท้อนให้เห็นถึงความล้ำสมัยของหลุยส์ วิตตองที่มองการณ์ไกลและเข้าใจถึงความต้องการของผู้คน ซึ่งมาพร้อมกับการพัฒนาเทคโนโลยีและวิทยาการสมัยใหม่ อีกทั้งยังตอบสนองความต้องการเหล่านั้นผ่านผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่เต็มไปด้วยจินตนาการ สุดยอดชิ้นงานในยุคโบราณจัดวางเคียงข้างกับผลงานในยุคปัจจุบัน เพื่อตอกย้ำให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างไม่หยุดยั้งในการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องของหลุยส์ วิตตอง

 

 

 

ไทม์ แคปซูลยังแสดงถึงวิวัฒนาการของหลุยส์ วิตตอง นำเสนอผ่านลำดับเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ของแบรนด์ โดยจัดแบ่งเป็นหัวข้อหลักๆ ได้แก่ อัตลักษณ์แห่งหลุยส์ วิตตอง ตำนานการท่องโลก ความโก้หรูสง่างามในยามเดินทาง และผลงานที่เป็นสุดยอดไอคอนของแบรนด์ รวมถึงชิ้นงานที่สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองความสัมพันธ์อันยาวนานตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันระหว่างหลุยส์ วิตตองและประเทศไทย

 

 


 

ห้องช่างฝีมือชั้นเอก

สัมผัสกับช่างศิลป์ผู้อยู่เบื้องหลังผลงานของหลุยส์ วิตตอง โดยช่างชั้นเอกผู้มากประสบการณ์ในการสร้างผลิตภัณฑ์อันงดงามด้วยมือในทุกขั้นตอน เราจะได้เห็นขั้นตอนและรายละเอียดการทำ อีกทั้งยังสามารถร่วมทำอย่างใกล้ชิดกับช่างจากฝรั่งเศส

 

 

 

 


อัตลักษณ์แห่งหลุยส์ วิตตอง

นิทรรศการไทม์ แคปซูลเล่าถึงประวัติศาสตร์ของหลุย วิตตอง ผ่านลำดับเหตุการณ์สำคัญ และย้อนรอยอดีตถึงการปรับเปลี่ยนความเป็นตัวตนของแบรนด์อย่างต่อเนื่อง ความสำเร็จครั้งแรกของหลุยส์ วิตตองก็คือการสร้างสรรค์หีบเดินทางอันแข็งแกร่งซึ่งนับได้ว่าเป็นการแจ้งเกิดอัตลักษณ์แห่งแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็นวัสดุเนื้อแข็งต่างๆ ของหีบ ระบบล็อคกุญแจที่แน่นหนา และแถบคาดโลหะที่ปกป้องตัวหีบ ไปจนถึงวัสดุผ้าใบเคลือบสุดทนทานและหนังคุณภาพสูง

 

 

 

รวมทั้งลวดลายที่ประดับบนหีบเดินทางอย่างผ้าใบสีเทาเกรย์ ตริอานง (Trianon) ผ้าใบลายทางสีเบจและแดง ผ้าใบลายตารางหมากรุกดามิเยร์ (Damier) ผ้าใบลายโมโนแกรม (Monogram) และยังมีผ้าใบลายข้าวหลามตัดมาลตาจ (Maltage) ซึ่งแต่เดิมเป็นลายผ้าที่ใช้บุภายในหีบ และแถบสายรัดสัมภาระภายในหีบเดินทาง

 

 


 ตำนานอันยิ่งใหญ่แห่งการเดินทางทั่วโลก

ตลอดกว่า 100 ปีที่ผ่านมา หลุยส์ วิตตองมักเผชิญกับโจทย์ที่ท้าทายในการออกแบบผลิตภัณฑ์เพื่อให้ตอบรับกับการเดินทางรูปแบบใหม่ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ซึ่งก็ได้ผลลัพธ์เป็นชิ้นงานอันชาญฉลาดและสวยงามเสมอมา หลังจากสร้างสรรค์หีบเดินทางสำหรับการโดยสารรถไฟ หลุยส์ วิตตองก็ได้เล็งเห็นถึงพัฒนาการของรถยนต์จึงได้ออกแบบหีบสัมภาระต้นแบบสำหรับการเดินทางโดยรถยนต์ขึ้นในปี ค.ศ. 1897 ตามด้วยอุปกรณ์เสริม และกระเป๋าเดินทางรวมไปถึงหีบสัมภาระสำหรับจัดเก็บบนหลังคารถ และกระเป๋าสำหรับผู้ขับรถ

 

  

 

ยุคสมัยของเรือจักรไอน้ำนำไปสู่การเดินทางข้ามมหาสมุทร และเป็นแรงบันดาลใจในการผลิตกระเป๋าสตีมเมอร์ของหลุยส์ วิตตอง ซึ่งสามาถเก็บในช่องของหีบตู้เสื้อผ้า และยังมีหีบเดินทางแบบเคบินทรังก์ (Cabin trunk) ที่รูปทรงเพรียวบางสามารถสอดเก็บใต้เตียงบังก์เบด (Bunk bed) ได้ด้วย

 

 

อีกสองผลงานคือหีบเดินทางสำหรับเครื่องบินอย่าง แอโร่ ทรังก์ (Aero trunk) และ อาวีแอท (Arviat) ที่คิดค้นขึ้นเพื่อบรรจุเสื้อผ้าให้ได้มากที่สุดโดยให้มีน้ำหนักเบาที่สุด หลุยส์ วิตตองไม่เคยหยุดนิ่งที่จะค้นคว้าสิ่งใหม่ๆ อันเป็นผลจากวิวัฒนาการของการเดินทาง และพัฒนากระเป๋าเดินทางที่มีน้ำหนักเบาขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังคงความยื่นหยุ่นเต็มไปด้วยฟังก์ชั่นการใช้งาน และแข็งแกร่งพอสำหรับการเดินทางสมบุกสมบันไปทั่วโลก

 

 


ความโก้หรูสง่างามในยามเดินทาง

เมอซิเออร์ หลุยส์ วิตตอง ผู้ก่อตั้งแบรนด์หลุยส์ วิตตองนั้น เริ่มต้นอาชีพจากการเป็นผู้เชี่ยวชาญศิลปะการจัดเก็บสัมภาระคนโปรดของจักรพรรดินียูจีนี (Empress Eugenie) ทุกวันนี้ทักษะการจัดเก็บสัมภาระอย่างมีศิลปะนี้ยังคงเป็นซิกเนเจอร์ของหลุยส์ วิตตอง ผู้สร้างสรรค์กระเป๋าเดินทางที่ปกป้องสมบัติล้ำค่าของนักเดินทางทุกคน โดยเราจะได้สัมผัสกับวิถีชีวิตของลูกค้าที่หลุยส์ วิตตองได้ออกแบบผลงานสั่งทำสุดพิเศษจากวัสดุชั้นสูงที่ล้ำค่า

 

กล่องซิการ์ หุ้มด้วยหนังเอปิ 

 

เราจะได้เห็นว่าความสามารถของศิลปะการจัดเก็บสัมภาระได้ถูกนำมาใช้ในการทำกระเป๋าหรือหีบเดินทางให้สมบูรณ์แบบสำหรับการบรรจุรักษาสิ่งของแต่ละชิ้นอย่างพอดี ไม่ว่าจะเป็นขวดวิสกี้ ขวดน้ำหอม บอร์ดเกม เครื่องสำอางหรือเครื่องเพชร ศิลปะในการทำกระเป๋าและหีบของหลุยส์ วิตตองนั้น ถูกนำมาประยุกต์เข้ากับความจำเป็นในชีวิตแบบนักเดินทาง และปรับเปลี่ยนจนสมบูรณ์แบบเพื่อความต้องการเฉพาะของแต่ละบุคคล

 

กล่องบอร์ดเกม 

 

 


หลุยส์ วิตตองกับศิลปะ

การออกแบบผลงานที่แตกต่างคืออีกหนึ่งเรื่องราวของหลุยส์ วิตตอง เพื่อยึดมั่นในรากเหง้าของแบรนด์ เปิดประตูต้อนรับสถาปนิก ศิลปิน และนักออกแบบมากมายตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในช่วง 20 ปีที่ผ่านมานี้ สายสัมพันธ์ระหว่างหลุยส์ วิตตองและศิลปะแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เมื่อแบรนด์ได้ร่วมงานกับศิลปินชื่อดังระดับโลกในโปรเจ็กต์ต่างๆ มากมาย เพื่อสร้างสีสันและความมีชีวิตชีวาและยังเป็นการขยายพื้นที่ศิลปะได้เข้าถึงผู้คนได้มากยิ่งขึ้น

 

ยาโยอิ คุซามะ (ซ้าย) / ทากาชิ มูราคามิ (กลาง) / สตีเฟ่น สเปราส์ (ขวา)

 

เห็นได้จากนักออกแบบและศิลปินจากนิวยอร์กอย่างสตีเฟ่น สเปราส์ (Stephen Sprouse) เข้ามาสร้างสรรค์ลวดลายกราฟฟิตี้บนกระเป๋า เพิ่มความโดดเด่นให้ลายโมโนแกรมซิกเนเจอร์ของแบรนด์ด้วยสีสันสดใสด้วยลายเพ้นต์มือของเขา ในขณะที่ทากาชิ มูราคามิ (Takashi Murakami) ศิลปินดังจากญี่ปุ่นได้รับเชิญให้มาสร้างสีสันแปลกใหม่สไตล์ป๊อบของเขาให้ลายโมโนแกรมบนกระเป๋าในคอลเลคชั่นฤดูใบไม้ผลิ / ฤดูร้อน 2003 โดยได้ออกแบบคอลเลคชั่นมัลติคัลเลอร์ โมโนแกรม นอกจากนี้ทากาชิยังได้นำลายโมโนแกรมมาสร้างสรรค์เป็นลายพรางทหารอย่างโมโนแกรมูฟลาจ (Monogamouflage) และลายดอกซากุระ

 

ริชาร์ด พรินซ์

 

ต่อมาในปี ค.ศ. 2007 และ ค.ศ. 2012 ตามลำดับ หลุยส์ วิตตองยังได้ร่วมงานกับสองศิลปินใหญ่อย่างริชาร์ด พรินซ์ (Richard Prince) และยาโยอิ คุซามะ (Yayoi Kusuma) มาตีความผ้าใบโมโนแกรมผ่านมุมมองอันเป็นเอกลักษณ์ของทั้งคู่ ส่วนเมื่อไม่นานมานี้ ก็เป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งในโลกของศิลปะร่วมสมัยอย่างเจฟ คูนส์ (Jeff Koons) ที่เข้ามาเติมเต็มลวดลายโมโนแกรมอันเปรียบเสมือนผืนผ้าใบเปล่าให้เต็มเปี่ยมไปด้วยจินตนาการ จากผลงานชุด “เกซิ่ง บอล (Gazing Ball)” ของเขา จนกลายมาเป็นลวดลายภาพเขียนมาสเตอร์พีซจากบรมครูอย่างดา วินชี่ (Da Vinci), รูเบนส์ (Rubens), ทีเชี่ยน (Titian), ฟราโกนาร์ด (Fragonard) และแวนโก๊ะ (Van Gogh) บนกระเป๋ารุ่นไอคอนอย่างสปีดี้ (Speedy) คีพออล (Keepall) และเนเวอร์ฟูล (Neverfull)

 

เจฟ คูนส์

 

ผลงานของศิลปินชื่อดังร่วมสมัยชื่อดังมักจะถูกนำมาจัดแสดงที่ร้านหลุยส์ วิตตองทั่วโลก หลังจากการได้จัดนิทรรศการอย่างต่อเนื่องในห้องแสดงงานศิลป์ที่มีชื่อว่า “เอสปาส หลุยส์ วิตตอง (Espace Louis Vuitton)” ซึ่งอยู่ภายในร้านหลุยส์ วิตตองสาขาปารีส โตเกียว มิวนิค และเวนิส และในปี ค.ศ. 2017 หลุยส์ วิตตองจึงได้เปิดตัว “ฟองดาซิอง หลุยส์ วิตตอง (Fondation Louis Vuitton)” ในกรุงปารีสซึ่งเป็นสุดยอดแห่งพิพิธภัณฑ์ที่ออกแบบโดย แฟรงก์ แกห์รี่ (Frank Gehry)

 

 


สัมพันธภาพระหว่างหลุยส์ วิตตองกับประเทศไทย

พื่อเป็นการเฉลิมฉลองการเปิดตัวไทม์ แคปซูลในประเทศไทย จึงมีการจัดห้องนิทรรศการย่อยนี้เพื่อแสดงถึงความสัมพันธ์อันยาวนานระหว่างหลุยส์ วิตตองและประเทศไทย ผ่านผลงานสั่งทำสุดพิเศษและภาพถ่ายประวัติศาสตร์มากมายที่สะท้อนถึงสัมพันธภาพระหว่างแบรนด์และประเทศไทยตั้งแต่ ค.ศ. 1924 

 

หีบบัวท์ ฟลากง (ซ้าย) 

 

ดังเห็นได้จาก ผลงานสั่งทำพิเศษ หีบบัวท์ ฟลากง (Boite Flacon) หุ้มด้วยหนังเอปิสีเหลืองที่ผลิตขึ้นในปี ค.ศ. 2006 เพื่อเฉลิมฉลองพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และหีบใส่นาฬิกาที่พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ ทรงออกแบบร่วมกับหลุยส์ วิตตองเพื่อการประมูล โดยนำรายได้สมทบทุน มูลนิธิชัยพัฒนาเมื่อปี ค.ศ. 2008

 

 หีบใส่นาฬิกาที่พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ ทรงออกแบบร่วมกับหลุยส์ วิตตอง

 

 


อัศจรรย์แห่งหีบเดินทาง

หีบเดินทางที่ตั้งอยู่ใจกลางห้องแห่งนี้ นำเสนอมุมมองเจาะลึกเบื้องหลังกระบวนการสร้างสรรค์และแรงบันดาลใจของนิโกลาส์ เฌสกิแยร์ (Nicolas Ghesquiere) โดยหีบนี้จะมอบประสบการณ์พิเศษให้เราได้เดินทางในไปโลกของหลุยส์ วิตตอง ตั้งแต่หีบเดินทางใบแรกที่พัฒนาขึ้นจากการประดิษฐ์คิดค้นและวิวัฒนาการของผ้าใบเคลือบ ไปจนถึงการเปิดตัวของ “ฟองดาซิอง หลุยส์ วิตตอง (Fondation Louis Vuitton)” 

 

 

 

 

 


 

จากความยิ่งใหญ่ของหลุยส์ วิตตองครั้งนี้ กล่าวได้ว่า Time Capsule จะเป็นงานนิทรรศการแฟชั่นที่ยิ่งใหญ่และอลังการที่สุดในปี พ.ศ. 2560 และเป็นการตอกย้ำถึงความเป็นศูนย์กลางแฟชั่นที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก

 

#LVTimeCapsule

TIME CAPSULE BANGKOK

7-25 กันยายน 2560
ณ ลานพาร์คพารากอน สยามพารากอน
ไม่เสียค่าเข้าชม
เวลาเปิด 10:00 – 20:00 น.
เปิดให้เข้าชมรอบสุดท้ายก่อนเวลาปิด 20 นาที และห้องจัดแสดงจะเริ่มปิด 10 นาทีก่อนเวลาปิดทำการ