THE LEGEND ‘VIRGIL ABLOH’
บุคคลที่เปลี่ยนโลก…ไปตลอดกาล
- 06 ธันวาคม 2564
- 14,589
หลายปีที่ผ่านมาชื่อของเวอร์จิล แอบโลห์ (Virgil Abloh) ถูกพูดถึงและเป็นที่รู้จักในแวดวงอุตสาหกรรมแฟชั่นระดับโลก จากชายหนุ่มลูกผสมชาวอเมริกันแอฟริกัน ที่มีดีกรีปริญญาโทด้านสถาปัตยกรรมศาสตร์จากสถาบัน Illinois Institute of Technology และได้เปลี่ยนเส้นทางอาชีพของตัวเองมาเอาดีด้านแฟชั่นเต็มตัว โดยเวอร์จิลคิดเสมอว่าไอเดียเกี่ยวกับการออกแบบสถาปัตยกรรมไม่จำเพาะเพียงแค่สิ่งปลูกสร้าง หรืออาคารเท่านั้น ทว่าสามารถนำมาต่อยอดและก่อไอเดียใหม่ๆให้กับวงการการออกแบบในมิติอื่น ๆ ได้ดีเฉกเช่นเดียวกัน
View this post on Instagram
ด้วยความหลงไหลในวัฒนธรรมยุค 90 อย่างเสียงเพลงของ Nirvana หรืออิทธิพลการเล่นสเกตบอร์ดที่ส่งผลมายังการแต่งตัวในแนวสตรีทของเวอร์จิล ทำให้เขามีโอกาสร่วมงานกับแรปเปอร์แถวหน้าอย่างคานเย เวสต์ (Kanye West) ซึ่งทั้งสองได้มีโอกาสเข้าร่วมฝึกงานในแฟชั่นเฮ้าส์ของเฟนดิ (Fendi) จนทำให้ความสัมพันธ์ของเขาทั้งคู่กลายมาเป็นเพื่อนคู่หูคู่คิด และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ชื่อของเวอร์จิล แอบโลห์ (Virgil Abloh) ค่อยๆเป็นที่รู้จักและก่อให้เกิดแบรนด์ไฮสตรีทอย่างออฟไวท์ (OFF-WHITE) ในเวลาต่อมา
Kanye & Virgil Moment in Paris. This is Beautiful. pic.twitter.com/sFybpiyqmn
— KKW MAFIA (@KKWMAFIA) June 21, 2018
ซึ่งการกำเนิดของแบรนด์ออฟไวท์ แรกเริ่มเวอร์จิลต้องการให้แบรนด์เป็นเพียงแค่การสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักออกแบบรุ่นใหม่ไม่ได้คาดหวังถึงผลกำไรทางการตลาด ซึ่งสังเกตได้ว่าเครื่องแต่งกายในคอลเลคชั่นแรกๆของออฟไวท์เป็นเพียงแค่เสื้อผ้าที่สวมใส่ง่ายๆแทบจะไม่ได้มีอะไรหวือหวา เป็นการหาจุดกึ่งกลางระหว่างความเป็นทางการ (Formal) และความเป็นแคชชวล (Casual) โดยเขาเลือกสื่อสารกับสตรีทไอเทมที่ใครหลายๆในยุคนั้นมองข้ามอย่างเสื้อยืด เสว็ทเตอร์ ฮู้ดดี้ และสนีกเกอร์ ตามแบบฉบับที่เขาหลงไหลและเลือกสวมใส่ในชีวิตประจำวัน
นอกจากผลงานการคอลลาบอเรชั่นระหว่างออฟไวท์ (OFF-WHITE) กับแบรนด์ชั้นนำมากมายไม่ว่าจะเป็นแบรนด์กีฬาอย่างไนกี้ (Nike) แบรนด์เครื่องแต่งกายยีนส์อย่างลีวายส์ (Levi’s) แบรนด์รองเท้าจิมมี่ ชู (Jimmy Choo) หรือแม้แต่แบรนด์เสื้อผ้าอย่างมงแคลร์ (Moncler) ซึ่งทำให้ชื่อของเวอร์จิลถูกพูดถึงในวงกว้างกับไอเดียอันชาญฉลาดที่เรียกได้ว่าเป็นเอกลักษณ์หนึ่งเดียวที่น่าจับตามอง
ทำให้แฟชั่นเฮ้าส์ยักษ์ใหญ่อย่างหลุยส์ วิตตอง รีบดึงตัวเวอร์จิลเข้าไปในฐานะผู้กำกับศิลป์เสื้อผ้าผู้ชาย (Artistic Director) ซึ่งชื่อเสียงของเขาถูกขนานนามให้เป็นบุรุษผิวสีคนแรกผู้ทำลายกำแพงระหว่างแบรนด์หรูและสตรีทแบรนด์ไปตลอดกาล
โดยประเดิมคอลเลคชั่นแรกเมนส์แวร์สปริงแอนด์ซัมเมอร์ 2019 (Menswear SS19) ที่เวอร์จิลหยิบยกองค์ประกอบของความเป็นสตรีทแบรนด์ไม่ว่าจะเป็นซิลลูเอ็ทของเสื้อผ้าทั้งโค้ทตัวยาว แจ็คเก็ต เสื้อกั๊ก เสว็ทเตอร์ รวมถึงการเลือกใช้เพลนคัลเลอร์อย่างสีขาว และโทนสีฉูดฉาดสอดแทรกลงไปในดีเทลทั้งที่เป็นลายพริ้นท์หรือลวดลายโมโนแกรม (Monogram) ดั้งเดิมของทางวิตตอง เพื่อลดทอนความเข้มขรึมที่ดูเข้าถึงยาก อีกทั้งยังมีการดึงเอาไอคอนิกพีซอย่างกระเป๋าทรงทรังค์ (Trunk) มาดัดแปลงด้วยการใช้วัสดุที่เป็นโซ่สีส้มและสีดำ ซึ่งนอกจากจะชุบชีวิตให้กับเจ้าไอคอนิกพีซชิ้นนี้แล้ว ยังเรียกกระแสให้กับเมนส์แวร์ของทางวิตตองให้กลับมาถูกพูดถึงและฟื้นคืนชีพอีกครั้ง
นอกจากความโดดเด่นในเรื่องของแฟชั่นการแต่งกายที่เวอร์จิลนำเสนอตลอดหลายปีที่ผ่านมา ปรากฏการณ์การคอลลาบอเรชั่นระหว่างเวอร์จิลกับแบรนด์ในไลน์ต่างๆก็เป็นที่พูดถึงและถูกจับตามองเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นการเฉลิมฉลองครบรอบ 120 ปี ของแบรนด์กระเป๋าเดินทางเก่าแก่สัญชาติเยอรมันอย่างริโมว่า Rimowa โดยความพิเศษของคอลเลคชั่น Rimowa x Off-White Cabin Multiwheel ในปี 2018 เวอร์จิลได้เลือกเปลี่ยนโฉมกระเป๋าเดินทางรุ่นคลาสสิกมาใส่ DNA ของความเป็นสตรีทแฟชั่นอย่างการเลือกใช้วัสดุ Polycarbonate โปร่งแสง (See Through) ซึ่งสามารถขยายฐานลูกค้าและสร้างกลุ่มเป้าหมายใหม่ให้กับริโมว่า (Rimowa) จนกระทั่งในปี 2019 ทั้งสองแบรนด์ได้กลับมาร่วมงานกันอีกครั้งโดยนำเสนอไอเทมกระเป๋าเดินทาง Off-White x Rimowa กับ 3 เฉดสีที่ ด้านหน้ากระเป๋าคาดด้วยไอคอนิกโลโก้กากบาทออฟไวท์ และด้านหลังเป็นตัวอักษรปั้มนูนคำว่า FOR TRAVEL ซึ่งภายในประกอบไปด้วยกิมมิกอย่างถุงกระเป๋าใส Official Product Bag ที่มีองค์ประกอบและกลิ่นอายของแบรนด์ออฟไวท์อย่างครบถ้วน
อีกหนึ่งมาสเตอร์พีซ (Masterpiece) ที่เรียกได้ว่าเป็นที่สนใจให้กับผู้คนทั่วโลกคือการร่วมงานกันระหว่างอิเกีย (IKEA) แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ชื่อดังสัญชาติสวีดิช ในคอลเลคชั่นที่มีชื่อว่ามาร์เคียรัด (MARKERAD) โดยเวอร์จิลได้นำความถนัดและเทคนิคการออกแบบสมัยที่ร่ำเรียนปริญญาโทผนวกกับประสบการณ์การทำงานในแวดวงแฟชั่นนำเสนอผลงานที่มีความเรียบง่ายที่ซ่อนเร้นไปด้วยรายละเอียดของงานศิลปะ ซึ่งในประเทศไทยเองมีคนมากมายยอมต่อแถวเพื่อได้เลือกซื้อและชื่นชมผลงานของเวอร์จิลกับอิเกีย ทำให้สินค้าคอลเลคชั่นดังกล่าวหมดเกลี้ยงภายใน 3 ชั่วโมง และมีข่าวลือเกี่ยวกับราคารีเซลคอลเลคชั่นเวอร์จิลในท้องตลาดมากกว่า 10 ถึง 15 เท่าของราคาจริง
จะเห็นได้ว่าผลงานที่ผ่านมาของเวอร์จิล แอบโลห์ (Virgil Abloh) คือผลงานที่เป็นที่ยอมรับในวงกว้าง และเป็นผลงานที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนมากมายโดยแท้จริง โดยชื่อของเขาจะถูกจารึกในฐานะ ‘บุคคลต้นแบบ’ ผู้ขับเคลื่อนความสุข และความหวังของพวกเราตลอดไป
‘Rest in Heaven Virgil Abloh’