MY WAY - Alexander Rendell

BY Ghostwriter

  • 22 มีนาคม 2566
  • 26,211

ผู้ชายที่มีภาพลักษณ์ของความเป็นมิตรกับคนรอบข้างและธรรมชาติแห่งโลก กับความสามารถและการเติบโตที่พัฒนาจนเป็นสไตล์ที่น่าสนใจ กลายมาเป็นแบบอย่างให้กับคนรุ่นใหม่ที่หลายคนอยากเดินตาม Alex Rendell (อเล็กซ์ เรนเดลล์) Friend of SEIKO Prospex และผู้ร่วมก่อตั้งองค์กร Environmental Education Centre Thailand (EEC Thailand)  มาทำความรู้จักกับผู้ชายของปัจจุบันและอนาคต

 

METRO : นิยามผู้ชายแบบ Alex Rendell

Alex : หลัก ๆ มาเจอคำหนึ่งที่ชอบก็คือ ชีวิตคือการทำงาน คือเป็นคนที่ค่อนข้างจริงจังกับงานและทำอะไรก็ต้องทำให้สุด อะไรที่มันครึ่ง ๆ กลาง ๆ ถ้ารู้สึกว่าอะไรที่ทำแล้ว-แล้วมันไม่ใช่ก็จะไม่ทำเลย ถึงจะเป็นคนดูจริงจังแต่ก็มีโหมดเล่นที่เป็นอีกโหมดหนึ่ง - เป็นผู้ชายจริงจังแต่ไม่ได้ซีเรียส

 

METRO : จุดเริ่มต้นของการเข้ามาสู่การทำงานในด้านอนุรักษ์มาได้อย่างไร

Alex : ผมเคยศึกษาเรื่องนี้ประมาณตั้งแต่อายุ 10 ขวบและก็ตอนนั้นเริ่มทำเรื่องช้างเนื่องจากมีช้างที่เขาใหญ่ขาเจ็บหน้าที่ผมก็คือระดมทุนในกองถ่ายเพื่อเอาไปซื้อยาและนำยานั้นไปที่เขาใหญ่เพื่อนำไปให้ผู้เชี่ยวชาญ ได้ร่วมเดินทางเห็นขบวนการรักษาช้างป่าอยู่หลายสัปดาห์เลยเป็นสิ่งที่ติดใจมาอยู่ตลอด แต่จริง ๆ ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะมาทำด้านนี้คิดว่าจะไปสายกีฬา สายโปรดักชั่น ทำเบื้องหลัง จนกระทั่งเรียนจบมหาวิทยาลัยจึงได้กลับมาทำเรื่องช้างอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งครั้งนี้ได้ทำจริงจังและเริ่มรู้สึกว่าอยากมาทางสายอนุรักษ์และก็ได้เรียนดำน้ำ หลังจากนั้นได้เข้ามาไปช่วยงานมูลนิธิต่าง ๆ แคมเปญและโปรเจคเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง

จนกระทั่งได้มาเปิด EEC (Environmental Education Center) จนกลายมาเป็นเหมือนงานประจำของเราไปเลย ซึ่งตอนแรกคิดว่าเราจะทำเล็ก ๆ ไม่ได้คิดว่าจะยาวนานขนาดนี้ ซึ่งการได้ทำตรงนี้ทำให้ได้ศึกษาเพิ่มเติม มีประสบการณ์มากขึ้น จากเล็ก ๆ เริ่มเติบโตขึ้น ๆ จนมาถึงวันนี้ ก็เป็นเวลาปี พอเรามาทำงานด้านนี้ก็จะมีหลาย ๆ แคมเปญเข้ามาดึงเราเข้าไปเรื่องการดูแลธรรมชาติ

ซึ่งอย่างครั้งนี้ที่เราทำทั้งเรื่องป่าและทะเลจึงได้มาเป็น แบรนด์เฟรนของไซโก อย่างที่อื่นจะเป็นพรีเซนเตอร์ทางความยั่งยืนขององค์กรต่าง ๆ และก็ได้มาเป็นทูตสันถวไมตรีของสหประชาชาติซึ่งกลายเป็นว่าเรามาถูกทางและเอาดีด้านนี้ไปเลย

 

โดยผมเริ่มจากความชอบและเป็นโลกที่เราอยู่แล้วเรามีความสุข รู้สึกว่าเราชอบเดินทาง ชอบไปเจอผู้คนใหม่ ๆ ไม่ชอบอยู่ในเมือง พอถึงจุดหนึ่งเรามองว่าในเมืองไม่ใช่ที่ของเรา แต่ก็มีแวะเข้าไปบ้าง เข้าไปหาเพื่อนแต่ก็จะไม่ได้อยู่นาน ซึ่งการได้อยู่กับธรรมชาติรู้สึกดีกว่า ถือว่าเป็นเซฟโซนที่ดีของเรา รวมถึงการทำองค์กรและมีทีมที่ดี ซึ่งทีมอยู่กันมาตั้งแต่แรก ที่เรียนจบและได้มารวมตัวกันจัดตั้งองค์กรนี้ขึ้นมา และเจริญเติบโตเรื่อย ๆ ไปด้วยกัน จึงทำให้เรารู้สึกว่าทั้งการทำอนุรักษ์และการนำพาทีมไปต่อ เป็นแรงผลักดันให้เราตื่นขึ้นมาในทุก ๆ วัน

 

 
 
 
View this post on Instagram
 
 
 

A post shared by SEIKO (THAILAND) Official (@seiko_thailand)

 

METRO : เล่าถึงการได้เข้ามาเป็น Friend of SEIKO Prospex

Alex : ผมกล้าพูดได้เลยว่า ดีใจมาก เราทำงานอยู่ตรงนี้ซึ่งก็มีที่เป็นพรีเซ็นเตอร์อยู่บ้าง แต่ครั้งนี้เป็นครั้งที่เรารู้สึกดีมาก ๆ อีกครั้งหนึ่ง  แต่จุดเริ่มต้นคือได้เคยทำค่ายเยาวชนของโปรเจคไซโกมาแล้วครั้งหนึ่งซึ่งในใจก็คิดมาตลอดว่าเมื่อไหร่ที่จะเป็นเราแต่ก็ไม่ได้พูดออกไป แต่หลังจากนั้นทางแบรนด์ได้มาเห็นเราทำโปรเจคกอดป่ากอดทะเลพอดีและเข้ากับคอนเซ็ปต์ของแบรนด์ SEIKO Sustainable for Life ( Seiko Save the Ocean และ Seiko Save the Forest ) และถึงวันที่แบรนด์ได้มาชวนก็รู้สึกดีใจมากเนื่องจากเป็นคนที่ชอบนาฬิกาและชอบแบรนด์ไซโกอยู่แล้ว รู้สึกว่าเป็นนาฬิกาที่แบรนด์มีเรื่องราวที่ดีรวมถึงในสายนักดำน้ำก็จะชอบกันเป็นพิเศษอยู่แล้ว พอเราได้มาเป็นแบรนด์เฟรนด์ถึงแม้จะไม่ใช่พรีเซนเตอร์แต่หากพูดในด้านความภูมิใจเราพูดได้เลยว่า "ผมภูมิใจมาก" ที่ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์ได้มาทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกับแบรนด์และยิ่งเป็นแคมเปญที่นาฬิกาสื่อถึงทั้งป่าและทะเลยิ่งทำให้เรารู้สึก Humble ที่ได้ทำ

 

ซึ่งความยั่งยืนมีหลากหลายด้านมาก ๆ ที่คุณสามารถจะมีแพชชั่นในหลาย ๆ ด้าน และมีหลายมิติมาก รวมถึงโลกกลับมาให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากขึ้นเรื่อย ๆ และจะมีแต่เพิ่มขึ้น ๆ เรื่อย ๆ ในอนาคต ด้วยทรัพยากรและประชากรที่เยอะขึ้น อย่างไรก็แล้วแต่ คนจะต้องหันมาสนใจเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

 

 

METRO : เหนื่อยไหมกับการทำงานด้านสิ่งแวดล้อม

Alex : เหนื่อยนะครับ แต่เหนื่อยกับการเดินทางมากกว่ากิจกรรม  เพราะอยู่กับการเดินทางตลอดเวลาจริง ๆ ชีวิตผมอยู่กับสนามบิน บางสัปดาห์ผมบิน 4 ไฟล์ทไปเช้าเย็นกลับวันรุ่งขึ้นถึงบ้านวันรุ่งขึ้นบินต่อวันรุ่งขึ้นนั่งรถตู้ไปต่อ แต่พอเดินทางไปถึงที่นั้นจริง ๆ มันก็โอเคเจอผู้คนเจองานที่เรารัก มันก็เหนื่อยแต่มันก็ไม่มีงานไหนจะดีไปกว่างานนี้แล้วในมุมของผม ณ ตอนนี้ ต้องชื่นชมในความโชคดีของผมด้วย

 

 

METRO : เจออุปสรรคอะไรบ้างที่มาทำตรงนี้

Alex : ผมพยายามมาทำตรงนี้ ไม่ได้ต้องการเป็นฝ่ายตรงข้ามของใคร ผมมองว่าเราไม่ทำกิจกรรมหรือทำอะไรที่เราไม่สบายใจ ไม่ว่าจะสร้างผลกระทบให้ธรรมชาติหรือกับคน เราก็จะไม่มีความจำเป็นต้องเอาตัวเราเข้าไป บางคนมาในสายอนุรักษ์มาพร้อมกับมาสู้ มาลุย แต่ในมุมของผม ผมไม่ได้มองไปทางนั้น เราจึงมองกลับมาว่า สุดท้ายแล้วการให้ความรู้คือส่วนที่ปลอดภัยที่สุด ดีที่สุด เราสามารถที่จะให้ความรู้คนหรือเพิ่มความรู้ที่ทุกคนมีอยู่แล้วอันนี้คือจุดที่เรารู้สึกว่าเราสบายใจมากกว่าการไปดันเรื่องนโยบายระดับชาติ คือเราก็เคยไปมาไม่น้อยจนมาถึงในจุดหนึ่งเรารู้สึกว่ามันไม่ใช่โลกที่เราตั้งใจจะมาอยู่ตั้งแต่แรก เราอยู่แบบนี้เรามีความสุขเราอยู่กับนักเรียนอยู่กับผู้คนที่ชอบอะไรเหมือนกันเรารู็สึกว่ามีความสุขแล้ว

 

 

METRO : คาดหวังอะไรจากก้าวเล็ก ๆ ของอเล็กซ์ กับโลกใบนี้ที่มันใหญ่มากกับสิ่งที่ทำ

Alex : อย่างที่ผมทำศูนย์สิ่งแวดล้อมศึกษา  สิ่งนี้คือศาร์อย่างหนึ่งที่มีคนทำมานานแล้วแต่ในเมืองไทยยังไม่แพร่หลาย ผมคาดหวังว่าวันหนึ่งสิ่งเหล่านี้จะไปอยู่ในโรงเรียน อยู่กับเยาวชน และคาดหวังว่าวันหนึ่งเมืองไทยจะเป็นเหมือนกับต่างประเทศ อย่างเช่น ที่ผมเคยไปโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ค เป็นเมืองที่เขียวที่สุดในโลก ซึ่งคนที่นั่นเขาไม่ได้ใช้ชีวิตเพื่อคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมตลอดเวลา แต่มันเหมือนเป็นชีวิตประจำวันของเขาประเทศเขาถูกปลูกฝังมายาวนาน คิดว่าวันข้างหน้าถ้าสังคมไทยเป็นสังคมที่ดูแลทรัพยาการของเราได้ ถ้าเทียบเรากับต่างประเทศแล้ว ทะเล ภูเขาบ้านเราสวยกว่าเยอะ ทรัพยากรเรามีค่ากว่าเยอะเลย แต่ทำไมเขาถึงให้ความสำคัญมากถึงขั้นประชาชนให้ความสำคัญมากและใช้ชีวิตจนเป็นปกติ โดย Mission ของ EEC คือ สร้าง Green Society อยากให้มีสังคมที่ความยังยืนอยู่ในชีวิตประจำวันของตัวเอง

 

 

 
 
 
View this post on Instagram
 
 
 

A post shared by Alex Rendell (@alexrendell)

   

METRO : การดูแลตัวเองของผู้ชายสายลุยแบบอเล็กซ์ เรนเดลล์

Alex : เริ่มคิดจะมาดูแลตัวเองมากขึ้นในปีที่ผ่านมา จากเดิมที่ทำกิจกรรมเยอะมาก ๆ ทั้งเตะบอล ตีเทนนิส  และก่อนหน้านี้ทำงานหนักมากและเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงของร่างกายตัวเองในวัย 33 ปี และเริ่มรู้แล้วว่าหากเราไม่ทนุถนอมร่างกาย อาจจะส่งผลในระยะยาวได้ จึงเริ่มให้ความสำคัญกับตัวเองมากขึ้น หาวันหยุดให้ตัวเองอย่างน้อย 1 วัน ที่เราได้พักผ่อน ยืดร่างกาย ออกกำลังกาย กินให้ดีขึ้น ลดการเที่ยวการดื่มให้น้อยลง คนเราถ้าหากรักษาร่างกายและรักษาวิธีการใช้ชีวิต มันจะดีกับไม่ใช่แค่ร่างกายแต่จะดีถึงสุขภาพจิตเราด้วย เอาจริง ๆ สภาพจิตบางทีสำคัญกว่าร่างกายด้วยซ้ำ

 

 

METRO : ฝากอะไรถึงแฟน ๆ หรืออยากให้เขารู้จักเราแบบไหน

Alex : อยากให้คนมองเราว่าเป็นคนที่ซื่อตรง เราทำงานตรงนี้ก็คือโลกหลาย ๆ โลกมารวมกันเราอาจจะเจอคนหลายคนมีเอนเนจี้ที่ไม่โอเค เราก็ไม่อยากเป็นคนแบบนั้น เราอยากให้คนเข้าหาเราได้ง่ายพูดตรงไปตรงมาไม่มีเกไม่มีแผนซ้อนแผน รู้สึกว่าสุดท้ายแล้วคนเราหากซื่อสัตย์ทั้งกับตัวเราและคนรอบข้างต่อให้ผิดอย่างไรก็แล้วแต่หากเราซื่อตรงกับสิ่งที่เราทำคิดว่าก็จะมีพื้นที่ให้คนเข้ามาหาเราได้อยู่ดี

 

METRO : ไลฟ์สไตล์แบบแบบอเล็กซ์ที่หลาย ๆ คนอยากเป็นแบบนี้ มีคำแนะนำไหม

Alex : มีคนถามผมเยอะมาก เวลาอยากทำงานแบบนี้ เราต้องเริ่มต้นที่อะไร ผมก็จะเอา 17 ข้อของ Sustainable Development GOALS ให้คุณเลือกเลยหนึ่งข้อ ว่าคุณมีแพชชั่นกับข้อไหนอย่างน้อย ๆ มันก็กรองมาให้แล้วว่าคุณจะไปในแนวทางไหนข้อไหน เช่น บางคนชอบเรื่องการเงินก็จะเป็นความยั่งยืนทางการลงทุนบางคนชอบแฟชั่นก็ไปเรื่องการความยั่งยืนทางแฟชั่นเพราะอุตสาหกรรมแฟชั่นใช้น้ำเยอะจะทำอย่างไรให้เปลี่ยนตรงนั้นได้

 

ถามตัวเองก่อน ถ้าไม่แน่ใจ ลองเลือกและลองทำ แต่สิ่งที่จะทำให้คนไม่ไปข้างหน้าคือ การลังเลและไม่ทำอะไร มันก็จะกลายเป้นสิ่งที่วนอยู่ในหัว ผมคิดว่าลองกัดฟันเลือกไปเลย แล้วลองดูครับ

 

https://www.instagram.com/alexrendell/

https://www.youtube.com/@AlexRendellChannel

https://www.instagram.com/eecthailand/

 

 

 

 

อ่านเพิ่มเติม -  SEIKO SAVE THE OCEAN ครั้งที่ 6

อ่านเพิ่มเติม - SEIKO Sustainable for Life

 

 


บทความนี้ได้รับการสนับสนุนโดย  บริษัทไซโก (ประเทศไทย)

 

 

 

 

อ้างอิงข้อมูลเพิ่มเติม

https://eecthailand.com/th/

https://sdgs.un.org/goals

https://www.sdgmove.com/intro-to-sdgs/