Gucci Cosmos Exhibition
- 17 พฤษาภาคม 2566
- 5,193
Gucci นำเสนอ Gucci Cosmos นิทรรศการเทคโนโลยี immersive สุดล้ำที่รวบรวมงานออกแบบเอกลักษณ์ของ Gucci ตลอด 102 ปี
Gucci ภูมิใจนำเสนอ Gucci Cosmos นิทรรศการที่สร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี immersive รวบรวมงานออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์ของ Gucci ตลอดระยะเวลา 102 ปี นิทรรศการ Gucci Cosmos อันแสนน่าทึ่งและประทับใจเปิดตัวครั้งแรกในเดือนเมษายน 2023 พาคุณท่องเวลาย้อนกลับไปในอดีต พร้อมๆกับสะท้อนถึงจุดกำเนิดที่เมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี และหยิบยกเอาความคิดสร้างสรรค์ที่ไม่เคยหยุดนิ่งของ Gucci มาให้ทุกคนได้เห็นอีกครั้ง
นิทรรศการ Gucci Cosmos พาทุกคนย้อนกลับไปสู่ห้วงเวลาร้อยกว่าปี สัมผัสกับจิตวิญญาณและตัวตนของ Gucci ผ่านทางผลงานออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ ผลิตภัณฑ์ชิ้นคลาสสิคแห่งยุคที่กลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้กับผลงานรุ่นหลังของแบรนด์ ซึ่งเป็นการนำเอาชิ้นงานชั้นยอดเหล่านั้นมาผ่านการตีความใหม่ นิทรรศการ Gucci Cosmos เน้นย้ำให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในพลังแห่งความคิดสร้างสรรค์ที่ยึดโยงกับขนบและฝีมืองานช่างชั้นเยี่ยมแห่งอิตาลี ที่ส่งผลให้ผลงานของ Gucci นอกจากจะเป็นดั่งกระจกสะท้อนถึงยุคสมัยแล้วยังเป็นผู้กำหนดนิยามและเป็นผู้นำของสังคมในด้านรสนิยมแห่งความงามอีกด้วย
นิทรรศการ Gucci Cosmos เป็นผลงานการคิดคอนเซ็ปต์และออกแบบโดยศิลปินร่วมสมัยชื่อดังชาวอังกฤษ Es Devlin และคัดสรรโดยนักคิดและนักวิจารณ์แฟชั่นชาวอิตาลีมือฉกาจอย่าง Maria Luisa Frisa นี่คือการเดินทางสุดล้ำที่ย้อนเวลากลับไปสู่อดีตของแบรนด์ เท่านั้นยังไม่พอ ห้วงเวลาในปัจจุบันและอนาคตของแบรนด์ยังถูกนำมาให้ได้สัมผัสกันผ่านนิทรรศการที่แบ่งออกเป็น “โลก” ทั้งแปดใบ ในโลกแต่ละใบจะมีการนำเอาผลงานล้ำค่าของ Gucci ซึ่งหลายชิ้นไม่เคยมีใครได้เห็นมาก่อนจาก Gucci Archive คลังเก็บผลงานในอดีตและเป็นศูนย์กลางในการทำงานของทีมงานสร้างสรรค์ของแบรนด์ ตั้งอยู่ในเมืองฟลอเรนซ์ ที่ Palazzo Settimanni ซึ่งสร้างในศตวรรษที่ 15 โลกแต่ละใบเล่าถึงแง่มุมต่างๆ ของ Gucci ตลอดจนสะท้อนหลักการที่แบรนด์ยึดมั่นอย่างเหนียวแน่นมาตั้งแต่นับจากก่อตั้งแบรนด์ในปี 1921 กับแรงบันดาลใจและความคิดสร้างสรรค์ที่เสริมสร้างให้ Gucci แข็งแกร่งขึ้นตลอดเวลา นับตั้งแต่ความมุ่งมั่น ณ จุดเริ่มต้นของผู้ก่อตั้งอย่าง Guccio Gucci มาจนถึง Aldo และ Rodolfo บุตรชายทั้งสองผู้เต็มไปด้วยจิตวิญญาณนักบุกเบิก และพลังจินตนาการที่ไร้ขีดจำกัดของผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์รุ่นหลังอย่าง Tom Ford, Frida Giannini และ Alessandro Michele
โลกใบที่ 1: Portals
โลกใบที่หนึ่งจากโลกทั้งหมดแปดใบมีชื่อว่า ‘Portals’ นิทรรศการในส่วนนี้บอกเล่าเรื่องราวของ Guccio Gucci บิดาผู้ก่อตั้งแบรนด์ และการขยายตัวของแบรนด์ในยุคของเขา ในฐานะชายหนุ่มที่ทำงานในตำแหน่งพนักงานช่วยเหลือทั่วไปในโรงแรม The Savoy ในกรุงลอนดอน เมื่อผู้ชมก้าวเข้าไปในประตูหมุนแปดบาน (ซึ่งมีความหมายถึงประตูทางเข้าของโรงแรมซาวอย) ก็จะได้พบกับภายในของนิทรรศการโลก ‘Portals’ ประกอบด้วยสายพานรูปวงกลมสามสายพานที่หมุนอยู่ตลอดเวลา และบนสายพานนั้นก็คืองานออกแบบกระเป๋าที่หรูหราที่สุดของแบรนด์ Gucci ซึ่งบอกเล่าถึงเรื่องราวแห่งความคิดสร้างสรรค์ตลอดห้วงเวลาหลายทศวรรษที่ผ่านมา หนึ่งในนั้นได้แก่กระเป๋าเดินทางรุ่นแรกๆ ที่ออกแบบโดย Guccio Gucci เองในช่วงปลายทศวรรษ1920 เป็นกระเป๋าที่ตกแต่งด้วยผ้าใบลาย GG ที่สร้างสรรค์ขึ้นโดย Aldo Gucci ในช่วงทศวรรษ 1960 อันเป็นการอุทิศให้แก่บิดาของเขา
นอกจากนี้ยังมีกระเป๋าเดินทางพิมพ์ลายดิสนีย์จากคอลเลคชั่น Epilogue ที่ออกแบบโดย Alessandro Michele ในปี 2020 นิทรรศการส่วน ‘Portals’ นั้นมีการสับเปลี่ยนหมุนเวียนเนื้อหาที่จัดแสดง และใช้การเคลื่อนไหวเป็นองค์ประกอบสำคัญ สื่อให้เห็นถึงการแลกเปลี่ยนและหมุนเวียนของความรู้ทางด้านการออกแบบ แนวคิดและแรงบันดาลใจระหว่างผู้อำนวยการด้านการสร้างสรรค์ของแบรนด์ โดยแสดงให้เห็นว่าผู้อำนวยการแต่ละคนมีวิธีใดในการเข้าถึงจิตวิญญาณของแบรนด์ เพื่อที่จะสะท้อนถึงจิตวิญญาณที่ว่านั้นออกมา เผยให้เห็นถึงความทันสมัยที่ไม่เคยขาดหายไป นอกจากนี้แล้ว วงแหวนรอบนอกยังมีภาพจำลองมัลติมีเดียแปดภาพที่ได้แรงบันดาลใจมาจากบุคคลสำคัญๆ ในเชิงวัฒนธรรมทั้งในอดีตและปัจจุบัน ได้แก่ Jacqueline Kennedy Onassis , Grace of Monaco และโกลบอลแบรนด์แอมบาสเดอร์อย่างเช่น Chris Lee, Ni Ni, Lu Han และ Xiao Zhan ตลอดจนการยกย่องกรุงโรมในฐานะเมืองที่เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์มากที่สุด และเมืองที่ไม่เคยถูกหลงลืมจากใจของบรรดาบุคคลชั้นสูงและดาราดังแห่งฮอลลีวูด
โลกใบที่ 2: Zoetrope
Gucci ได้นำแรงบันดาลใจจากกีฬาขี่ม้ามาใช้ในงานออกแบบของแบรนด์มาช้านาน และเอกลักษณ์นี้ก็ได้กลายมาเป็นแก่นหลักของเนื้อหาในนิทรรศการ Gucci Cosmos ในส่วนที่มีชื่อว่า ‘Zoetrope’ ภายในการจัดพื้นที่เป็นวงกลมนั้น จะแทรกไว้ด้วยจอภาพขนาดใหญ่ที่นำเสนอวิดีโอพร้อมกับเสียงของฝีเท้าม้าและการเล่าเรื่องเกี่ยวกับการขี่ม้า ในส่วนของงานออกแบบที่นำมาจัดแสดงในส่วนนี้ได้แก่ โลโก้ฮอร์สบิท ซึ่งทำจากโลหะ คิดค้นครั้งแรกโดย Aldo Gucci เมื่อปี 1953 และแถบเว็บสีเขียว-แดง-เขียว อันเป็นสัญลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของแบรนด์ แรงบันดาลใจของแถบดังกล่าวนี้ ได้มาจากแถบที่ยึดบังเหียนม้าให้อยู่กับที่นั่นเอง ผู้ชมจะได้พบกับฮอร์สบิทตั้งแต่รุ่นแรกปรากฏอยู่บนรองเท้าโลเฟอร์ และรุ่นที่ปรับใหม่ในปี 1955 อวดโฉมครั้งแรกในกระเป๋ารุ่น Horsebit 1955 ออกมาครั้งแรกในปี 2020 เช่นเดียวกับบนเข็มขัดรุ่นที่ออกมาในช่วงทศวรรษ 1960 บนเดรสผ้าขนสัตว์และผ้าสักหลาดที่เปิดตัวในทศวรรษ 1970 รวมถึงกระเป๋าสะพายที่ Tom Ford ออกแบบใหม่ นิทรรศการในส่วน ‘Zoetrope’ ยังแสดงให้เห็นถึงงานออกแบบในยุคหลังๆ ที่ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ของแบรนด์ ได้นำเอาขนบที่้เกี่ยวข้องกับการขี่ม้ามาใส่ลูกเล่นและแฝงนัยเซ็กซี่ไว้ในงานออกแบบ เช่น เสื้อขี่ม้าคร็อปท็อปที่ออกแบบโดย Tom Ford และเข็มกลัดดอกไม้ทำด้วยหนังสีดำที่ออกแบบโดย Alessandro Michele
โลกใบที่ 3: Eden
‘Eden’ โลกใบที่สามในจักรวาล Gucci Cosmos นำเรื่องราวของ Flora ลายดอกไม้และต้นไม้อันงดงามอ่อนหวานที่ปรากฏสู่สายตาครั้งแรกในปี 1996 เป็นผลงานการออกแบบของ Vittorio Accornero de Testa ศิลปินชาวอิตาลีผู้ได้รับการว่าจ้างจาก Rodolfo Gucci ให้วาดผลงานชิ้นนี้ขึ้นสำหรับใช้เป็นลายผ้าพันคอไหมที่้ออกแบบให้กับเจ้าหญิงเกรซแห่งโมนาโค ลาย Flora ได้กลายมาเป็นลวดลายหลักของคอลเลคชั่นเรดี้ทูแวร์ของ Gucci ในปี 1981 ที่จัดแสดงในห้อง Sala Bianca ที่ Palazzo Pitti ในเมืองฟลอเรนซ์ และต่อมาลวดลายนี้ก็ยังจุดประกายผลงานการสร้างสรรค์ของ Tom Ford, Frida Giannini และ Alessandro Michele อีกด้วย นิทรรศการส่วน ‘Eden’ ซึ่งจัดแสดงอยู่ในพื้นที่รูปโค้งที่เต็มไปด้วยกระจกมากมาย สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ไม่เคยจางหายระหว่าง Gucci กับความหลากหลายและความงดงามของธรรมชาติ สะท้อนออกมาผ่านดอกไม้และแมลงขนาดใหญ่เหนือจริงจากงานออกแบบของ Accornero ในรูปแบบงานศิลปะแบบจัดวางที่ห้อยอยู่เหนือผลงานชิ้นต่างๆ ของแบรนด์ที่ได้แรงบันดาลใจจากลาย Flora ไม่ว่าจะเป็นมินิเดรสในปี 1969 ซึ่งลวดลายอันหรูหราได้ถูกนำมาใช้และผสมผสานออกมาเป็นชุดมินิเดรสผ้าไหมชวนหลงใหล ทางด้านผลงานของ Alessandro Michele ก็มีแจ็กเก็ตเดนิมตกแต่งด้วยหนังแกะปักลาย และมีคำว่า ‘L’Aveugle Par Amour’ บนตัวเสื้อ รวมไปถึงผ้าพันคอไหมและกระเป๋าผ้าอันสวยงามอีกมากมาย
โลกใบที่ 4: TWO
ต่อจากโลกที่อ่อนหวานสวยงามใน ‘Eden’ ผู้ชมจะได้พบกับรูปปั้นสีขาวขนาดใหญ่สูงสิบเมตรสองรูป ที่ยืนตระหง่านคู่กัน ประหนึ่งผู้คุ้มครองประตูทางเข้าวิหารโบราณ รูปปั้นคู่นี้เป็นสัญลักษณ์แสดงถึงความเชื่อของแบรนด์ Gucci ที่เป็นผู้บุกเบิกในด้านแฟชั่นยูนิเซ็กซ์ สะท้อนให้เห็นความเป็นผู้นำในด้านแนวคิดและพฤติกรรมของคนในสังคมได้เป็นอย่างดี พื้นที่ที่ดูว่างเปล่าบนรูปปั้นคู่นั้นจะเปลี่ยนไปเมื่อถูกฉายภาพชุดสูทผู้ชายและสูทผู้หญิงจากคอลเลคชั่นทั้งในอดีตและปัจจุบันของ Gucci ลงบนตัวของรูปปั้นคู่ ในบรรดานั้นได้แก่ชุดสูทผ้ากำมะหยี่สีแดงที่เป็นได้ทั้งชุดสูทผู้หญิงและผู้ชาย ซึ่งออกแบบโดย Tom Ford ในปี 1996 และผลงานชุดสูทลายตาราง ทรงเอวเข้ารูปที่แสนโดดเด่น ออกแบบโดย Frida Giannini ตลอดจนผลงานการออกแบบของ Alessandro Michele อย่างเช่น สูทยูนิเซ็กซ์ลายดอกไม้จากคอลเลคชั่นตั้งแต่ปี 2016 และชุดสูทจากคอลเลคชั่น‘Twinsburg’ ของเขาที่นำเสนอออกมาเมื่อปี 2022
โลกใบที่ 5: Archivio
ในโลกที่มีชื่อว่า ‘Archivio’ ของ Gucci Cosmos ผู้เข้าชมจะได้ทำความรู้จักเรื่องราวเริ่มต้นจุดกำเนิดของกระเป๋ารุ่นต่างๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ Gucci ท่ามกลางการตกแต่งด้วยเพดานกระจกที่ให้ความรู้สึกถึงความเป็นอมตะไม่สิ้นสุด ระเบียงที่คล้ายเขาวงกตซึ่งได้แรงบันดาลใจมากจาก Gucci Archive ในเมืองฟลอเรนซ์ รอบด้านมีตู้และลิ้นชักเรียงรายนับไม่ถ้วน บ้างเปิดไว้ให้เห็นสิ่งของภายใน บ้างก็ปิดสนิทหรือแค่เปิดแง้ม หรือซุกซ่อนสิ่งของภายในไว้เบื้องหลังกระจกฝ้า ราวกับจะปกปิดความลับด้านการออกแบบจากสายตาคนภายนอก กระเป๋ารุ่นประวัติศาสตร์ที่ถูกนำมาแสดง ได้แก่กระเป๋าห้ารุ่นที่ตอนนี้ถือเป็นกระเป๋ารุ่นคลาสสิคที่ยังทันสมัยอยู่เสมอ นั่นก็คือ กระเป๋ารุ่น Bamboo 1947, รุ่น Jackie 1961, รุ่น Horsebit 1955, รุ่น Gucci Diana และรุ่น Dionysus กระเป๋ารุ่นที่อยู่ในนิทรรศการโลก ‘Archivio’ ยังรวมถึงกระเป๋ารุ่นที่เต็มไปด้วยสีสันและเป็นรุ่นหายากจากปี 1960 ที่เป็นวัสดุใยเฮมป์และออกแบบโดย Guccio Gucci
พร้อมกับกระเป๋ารุ่นหนังลูกวัวจากทศวรรษ 1990 ตัวอย่างกระเป๋า Jackie รุ่นแรกๆ ซึ่งมีขอเกี่ยวพิสตันและแถบเว็บ รวมทั้งรุ่นปรับปรุงที่ออกมาในปลายทศวรรษ และมีลาย GG อันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ นอกจากนี้ยังมีกระเป๋าหูหิ้วหนังสีแดงมือจับไม้ไผ่ จากต้นทศวรรษ 1990 ที่ Alessandro Micheleได้ปรับปรุงจากกระเป๋ารุ่น Gucci Diana ในปี 2020 และอีกสองรุ่นที่ตกแต่งด้วยโลโก้ GG นั่นก็คือ กระเป๋าสไตล์ต้นทศวรรษ 1970 ที่ทำด้วยหนังสีดำที่ไม่เหมือนรุ่นอื่นตรงสัญลักษณ์ G รุ่นทรงโค้ง อันเป็นแรงบันดาลใจไปสู่กระเป๋า Gucci Blondie รุ่นแรกที่ออกมาในปี 2021 และกระเป๋ารุ่น GG Marmont กระเป๋าหนังลายนูนสีขาวออกแบบโดย Alessandro Michele ที่เปิดตัวครั้งแรกในปี 2016 นอกจากผลงานที่จัดแสดงในตู้โชว์แล้ว ในลิ้นชักก็ยังมีงานจำลองภาพลายเส้นผลงานของ Vittorio Accornero de Testa หนังสือภาพสเก็ตช์และภาพวาดที่เป็นเทคนิคการผลิตจากช่างฝีมือของ Gucci ตลอดจนโฆษณาชิ้นวินเทจของแบรนด์ Gucci อีกมากมาย
โลกใบที่ 6: Cabinet of Wonders
ณ ใจกลางของโลก ‘Cabinet of Wonders’ผู้ชมจะได้พบกับตู้แห่งความพิศวงที่หมุนเป็นวงกลม ตู้ขนาดสูงสามเมตร สวยเรียบ ไม่มีลวดลาย เคลือบด้วยแล็คเกอร์สีแดงเข้ม ภายในเต็มไปด้วยลิ้นชักและช่องเล็กช่องน้อยที่เลื่อนปิดเปิดได้เอง ท่ามกลางเสียงซาวด์แทร็คที่เป็นเสียงลมหายใจของคน ภายในตู้คือคอลเลคชั่นเสื้อผ้า แอคเซสเซอรี่และสิ่งของที่น่าสนใจและล้ำจินตนาการมากมาย ตอกย้ำให้เห็นถึงความครอบคลุมกว้างขวางของแบรนด์ได้เป็นอย่างดี ภายในตู้ได้จัดแสดงผลงานไล่ตั้งแต่คอลเลคชั่นของ Tom Ford ในปี 2001 หนึ่งในนั้นเป็นชุดดันทรงหนังสีดำ และชุดราตรีสีทองปี 2006 ออกแบบโดย Frida Giannini รวมถึงชุดเดรสที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร ผลงานการออกแบบของ Alessandro Michele ในปี 2018 ที่ตกแต่งด้วยลูกไม้ ไข่มุก และลูกปัด และยังมีกระเป๋าคลัตช์กำมะหยี่สีดำทรงแปลกตา มีขอเกี่ยวโลหะ จากทศวรรษ 1950 และกระเป๋าหนังรูปทรงกลมสไตล์พังค์พร้อมโลหะแหลมจากปี 2019 นอกจากนี้ยังมีเครื่องประดับที่คัดสรรมาแสดงจากปี 1960 ถึง 2020 พร้อมกับขวดโหลทำด้วยเงินรูปกวางจากต้นทศวรรษ 1970 และพัดขนนกกระจอกเทศสีดำออกแบบโดย Alessandro Michele และกีตาร์ไฟฟ้าจากยุคของ Tom Ford นี่คือโลกที่รวบรวมเอางานออกแบบที่สะท้อนถึงจิตวิญญาณอิสระของ Gucci มาไว้ในธีม ‘Cabinet of Wonders’ คือบทยืนยันถึงตัวตนที่ไม่เคยหยุดนิ่งอยู่กับที่และการปรับเปลี่ยนตัวเองไปสู่วัตถุแห่งความงามได้เสมอ รวมไปถึงความกล้าหาญที่จะทำตามแรงบันดาลใจแห่งการสร้างสรรค์ของแบรนด์
โลกใบที่ 7: Carousel
ในโลกที่ชื่อว่า ‘Carousel’ ผู้ชมจะได้พบกับขบวนพาเหรดหุ่นโชว์ 32 ตัวที่สวมเสื้อผ้าของ Gucci ตั้งแต่ยุคทศวรรษ 1970 มาจนถึงยุคปัจจุบัน หุ่นโชว์จะค่อยๆ เคลื่อนตัวมาอย่างแผ่วเบาราวกับนางแบบเยื้องกรายบนแคทวอล์ค เป็นฟูลลุคจากแต่ละซีซั่นที่ไม่ได้จัดเรียงตามปี หากแต่เรียงด้วยสีและแรงบันดาจใจในการออกแบบ โลกแห่ง ‘Carousel’ เปิดให้เห็นถึงความเชื่อมโยงใหม่ๆ ในรูปแบบของการเต้นรำผ่านกาลเวลา สะท้อนถึงเส้นทางการสร้างสรรค์ของแบรนด์ที่เชื่อมโยงกับมรดกตกทอดแต่ไม่ทิ้งความทันสมัย เสื้อเชิ้ตและกระโปรงผ้าไหมจากปี 1970 ที่มีลายแท่งตัว G หรือลายริบบิ้นที่เป็นภาพหลอกตาบนเสื้อโค้ทผ้าวูลสุดหรูในปี 2016 และชุดเดรสสั้นตกแต่งโซ่ ที่ได้แรงบันดาลใจจากความหรูหราฟู่ฟ่าแกมยั่วยวนของชุดสูทยูนิเซ็กซ์ที่ Tom Ford ออกแบบไว้ในปี 1996 ในขณะที่หุ่นโชว์เยื้องกรายไปบนสายพานนั้นเอง ภาพวาดโดยศิลปินจีนก็ได้ถูกคัดสรรมาเพื่อเชื่อมโยงระหว่างแรงบันดาลใจข้ามทวีป เช่นผลงานภาพวาดของศิลปินอย่างVicto Ngai, Vikki Zhang, Li Jianmei และ Currynew
โลกใบที่ 8: Duomo
ในขณะที่งานออกแบบของ Gucci สะท้อนถึงความคิดสร้างสรรค์ที่ไร้ขีดจำกัดและความทันสมัยของห้วงเวลาในศตวรรษแรก ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวที่ส่งผลให้ Gucci เป็นแบรนด์หนึ่งเดียวในดวงใจของบรรดาคนดังและดาราฮอลลีวูด สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยแปรเปลี่ยนก็คือ บ้านทางจิตวิญญาณและความงาม ที่ตั้งอยู่ในเมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลีนั่นเอง นิทรรศการ Gucci Cosmos จึงพาทุกคนหวนกลับมาสู่โลกที่มีชื่อว่า ‘Duomo’ ซึ่งอุทิศให้แก่เมืองอันเป็นบ้านของแบรนด์ Gucci โดมจำลองขนาดใหญ่ที่จำลองมาจากโดมสมัยศตวรรษที่ 15 ออกแบบโดย Filippo Brunelleschi สำหรับโบสถ์ Santa Maria del Fiore แห่งเมืองฟลอเรนซ์ โดยให้มีโดมทาบทับกันอยู่สองโดม ซึ่งผู้ชมจะสามารถเข้าชมโดมทั้งสองนี้ได้จากแท่นชมด้านบน ด้านในจะเป็นผลงานการออกแบบและแพทเทิร์นต่างๆ จากอดีตและปัจจุบันของ Gucci ที่ถูกฉายขึ้นบนผนังภายในโดมในรูปแบบที่ครบครันทั้งแสงสีเสียง ภาพที่ปรากฎในสายตาจึงเป็นเรื่องราวของแบรนด์ Gucci จากอดีตจวบจนปัจจุบันที่นำเสนอได้อย่างตื่นตาตื่นใจ รวมไปถึงเหล่าดอกไม้ที่ได้แรงบันดาลใจจากลายดอกไม้ Flora ของ Vittorio Accornero de Testa นับเป็นโลกที่แสนงดงามและสดชื่น เป็นบรรยากาศที่นำมาปิดท้ายนิทรรศการเฉลิมฉลองตัวตนของ Gucci ได้อย่างเหมาะเจาะและงดงาม
นิทรรศการ Gucci Cosmos คือการนำเอาจิตวิญญาณแห่งแบรนด์มาจัดแสดงให้ได้ชมกัน ผ่านงานออกแบบชิ้นเด่นๆ ตลอดจนสัญลักษณ์ และผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ รวมไปถึงบุคคลเจ้าของผลงาน ซึ่งได้แก่ดีไซเนอร์และช่างฝีมือชั้นเยี่ยมทั้งหลายของ Gucci นั่นเอง นับจาก Guccio Gucci ในปี 1921 มาจนถึงวันนี้ พวกเขาเหล่านั้นได้สร้างหลักประกันว่า Gucci จะยังคงเป็นที่สุดแห่งความคิดสร้างสรรค์และฝีมือช่างอิตาลีตลอดไป และเป็นแบรนด์ระดับโลกที่มุ่งมั่นในการสรรค์สร้างงานที่ทรงคุณค่าคุณภาพล้ำเลิศ สร้างสรรค์งานออกแบบที่โดดเด่นและเป็นผู้นำที่กำหนดเส้นทางแห่งอนาคตต่อไป
นิทรรศการ Gucci Cosmos เปิดให้เข้าชมที่ West Bund Art Center กรุงเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน
ตั้งแต่ 28 เมษายน 2023 ไปจนถึง 25 มิถุนายน 2023 และหลังจากนั้นจะจัดแสดงในประเทศอื่นๆ ต่อไป