Understanding body language

BY Poy T.

  • 01 สิงหาคม 2561
  • 5,004

คุณรู้หรือไม่ว่าภาษาที่พวกเราใช้ในการสื่อสารที่มีอยู่บนโลกของเราตอนนี้มีอยู่กว่า 5,000 ภาษากันเลยทีเดียวซึ่งการที่คุณจะสามารถเรียนรู้ภาษาให้ครบทุกภาษานั้นน่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากอยู่พอสมควรแต่ในขณะที่เรามัวแต่มุ่งมั่นสื่อสารกันด้วยภาษาพูดจนเราก็อาจจะหลงลืมไปว่ามันมีภาษาที่ยังสามารถช่วยให้เราเข้าใจกันได้ง่ายขึ้น

แม้จะมีข้อแตกต่างทางภาษาของแต่ละพื้นที่ก็ตามนั่นก็คือ ภาษากาย หรือ Body Language นั่นเองซึ่งว่ากันว่าภาษากายคือภาษาของจิตสำนึกเป็นสิ่งที่ออกมาจากความรู้สึกนึกคิดของคนที่แสดงมันออกมาโดยตรงและก็ค่อนข้างจะเป็นเรื่องยากอยู่พอสมควรที่จะปิดบังมันเอาไว้เพราะฉะนั้นเชื่อได้เลยว่าภาษากายจะไม่โกหกคุณ

 

 

เพราะภาษากายก็เกิดขึ้นมาจากสมองส่วนที่เรียกว่า Limbic (ลิมบิก) ซึ่งมันเป็นสมองส่วนที่เชื่อมโยงกับการแสดงออกของอารมณ์และโยงกันไปจนถึงการแสดงออกมาทางกายและจุดที่น่าสนใจนั่นก็คือเจ้าของร่างกายจะไม่รู้ตัวเมื่อได้แสดงภาษากายเหล่านี้ออกมานั่นเองอย่างนั้นแล้วถ้าคุณพอจะรู้พื้นฐานของการสื่อสารที่ออกมาในรูปแบบภาษากายติดตัวไว้บ้างก็น่าจะช่วยให้คุณรู้ทันและเอาตัวรอดในหลายๆสถานการณ์ได้ง่ายขึ้นไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการทำงานอย่างเช่นท่าทีของคนในที่ประชุมเมื่อคุณเข้าประชุมการเข้าสังคมการต่อรองราคาหรือการโน้มน้าวใจและแม้กระทั่งในเรื่องของความรักอีกด้วย

 

แต่ก่อนที่คุณจะมาเริ่มเรียนรู้ภาษากายเพื่อที่จะเอามาคาดการณ์สิ่งต่าง ๆ ออกมาได้นั้นมันก็แอบมีเทคนิคเพื่อที่จะนำทางไปสู่การคาดเดาภาษากายอย่างถูกต้องด้วยเหมือนกันเพราะในบางครั้งคุณก็จำเป็นที่จะต้องรู้พื้นฐานของคนที่คุณจะอ่านภาษากายก่อนด้วยเพื่อที่จะไม่ให้คุณเกิดแปลภาษากายเหล่านั้นผิดจนอาจกลายเป็นความเข้าใจผิดไปกันใหญ่ก็ได้

 

 

 

Intro ก่อนจะไปรู้ภาษากายกันก่อน

 

1. คุณต้องหัดเป็นนักสังเกตก่อน ถ้าคุณอยากที่จะเริ่มอ่านภาษากายใครแล้วล่ะก็คุณก็จำเป็นที่จะต้องเริ่มสังเกตเขาไว้แล้วล่ะเพื่อที่จะคอยดูว่าการแสดงออกของเขาในแต่เวลาเป็นอย่างไรบ้างนั่นเอง

2. อย่าลืมดูสภาพแวดล้อมในตอนนั้นด้วย แน่นอนว่าในข้อนี้ก็มีผลการที่เขาหน้าซีดเหงื่อตกอาจจะเป็นเพราะอากาศที่ร้อนมากหรือเปล่าไม่ใช่เพราะว่าเขามีความกลัวหรือกังวล ก่อนที่จะเริ่มอ่านภาษากายคุณต้องเริ่มอ่านสภาพแวดล้อมก่อน

3. ภาษากายต้องแยกให้ขาดกับภาษาส่วนตัว หลังจากที่สังเกตพฤติกรรมของเขาและดูสภาพแวดล้อมมาแล้วคุณก็จำเป็นต้องรู้พื้นฐานของเขาไว้ด้วยว่าการแสดงท่าทางแบบนั้นแบบนี้เป็นท่าประจำของเขาหรือเปล่า บางคนอาจจะชอบจับผมตัวเองเป็นปกติอยู่แล้วโดยที่ไม่ได้มีความคิดอะไรอยู่ข้างในเลย

4. การเปลี่ยนพฤติกรรมแบบทันทีทันใดนั่นแหละจุดสังเกต พฤติกรรมที่เกิดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยอยู่ ๆ ก็เกิดขึ้นนี่แหละคือสิ่งที่น่าจะเป็นเงื่อนงำให้คุณตั้งข้อสังเกตต่อไปได้ อย่างเช่น บังเอิญหันไปเห็นใครทำอะไรบางอย่างอยู่แล้วแสดงท่าทางไม่พอใจหรืออาจจะถึงขั้นสั่งให้หยุดทำ มันก็น่าสงสัยอยู่ใช่ไหมล่ะ?

5. ดูให้ดีที่แสดงออกมาเราแปลไม่ผิดแน่นะ เขาอาจจะจับบั้นเอวอยู่บ่อย ๆ จริง ๆ แล้วเขาอาจจะเป็นคนที่มีโรคเกี่ยวกับกระดูกสันหลังก็เป็นได้ไม่ได้มีการแสดงภาษากายอะไรออกมาให้คุณแปลหรอก นั่นแหละคุณควรรู้พื้นฐานของเขาเอาไว้ให้ดี

 

  

ถึงเวลาแล้ว! มาเริ่มรู้จักภาษากายกัน
หลังจากที่พอจะจับเทคนิคต่าง ๆ ก่อนที่จะมาเริ่มอ่านภาษากายกันได้แล้วมันถึงเวลาต้องลงสนามจริงกันแล้วล่ะไม่เสียเวลากันแล้วมาเริ่มเลยดีกว่า 

อดอก

 

ท่าประจำที่เราเห็นกันบ่อย ๆ เลยก็ว่าได้เอาเป็นว่าหลังจากที่คุณได้ลองพิจารณาเทคนิคก่อนการอ่านภาษากายกันเสร็จแล้วล่ะก็…คุณก็น่าจะเริ่มอ่านภาษากายกันได้เลยว่าคนที่คุณสนใจอยู่นั้นถ้าเขากอดอกนั่นคือเขามีความคิดหรือรู้สึกอะไรอยู่กันแน่?

มันเป็นท่าทางที่ทำให้คน ๆ นั้นรู้สึกอุ่นใจและสบายใจเพราะมันคือการปกปิดของพวกเขาออกจากคนอื่น ๆ ในกลุ่มนั้นนั่นเองแต่การปกปิดตัวเองออกมานั้นก็น่าจะมีสาเหตุมาจากความรู้สึกไม่สบายใจและรู้สึกอึดอัดใจนั่นเอง ถ้าในวงสนทนาของคุณดูเหมือนจะมีคนกอดอกอยู่ล่ะก็ให้สันนิษฐานได้เลยว่าสิ่งที่เขาฟังอยู่หรือเจออยู่น่าจะกำลังสร้างความตะขิดตะขวงใจให้กับเขาอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

 

อาตัวออกห่างจากวงหรือพิงหลัง

 

จริง ๆ แล้วถ้าดูจากสีหน้าท่าทางแบบนี้ก็เดาไม่ยากเลยว่าเขาไม่ค่อยอินหรือมีอารมณ์ร่วมกับสิ่งที่เจออยู่แน่ ๆ หรืออาจจะเดาได้ว่าเขากำลังกังวลและกลัวสภาพแวดล้อมในตอนนั้นอยู่ก็ได้ถ้าคุณคือคนที่กำลังนำบทสนทนาอยู่แล้วมองไปเห็นปฏิกิริยานี้เข้าล่ะก็กลับลำยังทันนะลองเปลี่ยนวิธีพูดตามแผนที่วางมาดูไหมเผื่อว่าจะทำให้เขาคนนั้นอยากมีส่วนร่วมหรือสนใจคุณมากขึ้นหรือถ้าคุณอาจจะเผลอพูดอะไรที่ทำให้เขาดูกังวลไปนี่ก็เป็นภาษากายที่ดีที่จะทำให้คุณเปลี่ยนประเด็นนั้นไปซะดีกว่า

 

ยายามมองหาสิ่งที่ไม่มีอยู่ 

 

มองไปที่เป้าหมายของคุณแล้วดูเขาพยายามมองหาอะไรสักอย่างแถว  ๆด้านล่างแต่มันก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรอยู่เลยไม่ต้องสงสัยไปว่าเขามองอะไรกันแน่เพราะท่าทางแบบนี้ถ้าสภาพแวดล้อมดูแล้วก็ปกติดีมันคือภาษากายที่อยากจะบอกคุณว่าเขาไม่เห็นด้วยเลยกับสิ่งที่เผชิญอยู่แต่แน่นอนว่าเขาไม่กล้าที่จะเอ่ยมันออกมาไม่ว่าจะด้วยความไม่มั่นใจในตัวเองหรือความกลัวที่จะเสนอความคิดเห็นก็ตามแต่สุดท้ายแล้วเขาก็รู้สึกไม่เห็นด้วยกับสถานการณ์นั้นอยู่ดี

 

ยืนเท้าเอว

 

ถ้ามันไม่ใช่การถ่ายแบบอยู่นี่ก็ไม่ใช่การ Post ท่าของคนทั่วไปที่กำลังมีบทสนทนากันอยู่แน่ ๆ ท่าทางแบบนี้สามารถแปลได้ว่าเขาต้องการแสดงอำนาจหรือทำให้คนอื่น ๆ รู้สึกว่าเขามีความเหนือกว่าทุกคนอยู่ถ้าลองย้อนคิดถึงละครโทรทัศน์ที่เวลาแม่ค้าทะเลาะกันนั่นแหละคุ้น ๆ ใช่ไหมว่าพวกเธอเท้าเอวชี้หน้าด่ากราดกันใหญ่นี่คือภาษากายที่สมองส่วนลิมบิกอยากจะประกาศให้คนที่พบเห็นได้รู้ว่า “ฉันเหนือกว่าพวกคุณนะ…รู้เอาไว้!”

 

ระกบมือปลายนิ้วสัมผัสกัน

 

เป็นภาพที่อาจจะคิดออกยากแต่ถ้าคุณเคยดูบทสัมภาษณ์ของนักวิชาการหลาย ๆ คนที่ต้องออกมาแสดงความคิดเห็นต่าง ๆ เสมอท่าทางของคนเหล่านั้นในเวลาในการพูดหรือให้สัมภาษณ์นั้นท่านี้แหละเป็นท่าประจำของพวกเขาเลย หรือถ้าอาจจะดูไกลตัวคุณมากเกินไปลองย้อนไปวัยเด็กในการ์ตูนอย่างเรื่องโคนันเจ้าหนูยอดนักสืบเวลาเขาคิดออกและกำลังจะประกาศคลายปมทุกอย่างในคดีต่าง ๆ นั้นท่าประกบมือปลายนิ้วสัมผัสก็เป็นท่าประจำของเขาเช่นกัน


ท่านี้เป็นภาษากายที่แสดงออกถึงความมั่นใจอย่างที่สุดในตัวของผู้ที่ทำ มั่นใจในความคิด ในการกระทำและส่งผลมาถึงน้ำเสียงและท่าทางเลยทีเดียว ถ้าคุณกำลังเถียงกับคนที่ทำท่านี้อยู่เราของแนะนำว่าคุณควรนิ่งคิดเพื่อตั้งรับสักนิดจะดีกว่า

 

พูดไปพยักหน้าไป

 

ถ้าคู่สนทนาของคุณกำลังพูดอะไรให้คุณฟังอยู่แล้วเขาก็พูดไปพยักหน้าไปอย่างไม่ว่าจะเข้าหรือไม่เข้าจังหวะก็ตามให้คุณรู้ไว้เลยว่าเขากำลังพยายามโน้มน้าวคุณอยู่หรือพยายามให้คุณเข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อสารแต่ถ้าเป็นกรณีที่ดูจะแย่หน่อยคือเขาอาจจะกำลังหลอกให้คุณเชื่อในสิ่งที่เขาพูดให้ทำในสิ่งที่เขาต้องการเอาเป็นว่าคุณต้องจับใจความคำพูดของเขาให้ดีและมีพยายามดึงสติให้มากอย่าเพิ่งเผลอเอียงไปตามการพยักหน้าของเขาแต่ถ้าคุณลองประมวลผลแล้วว่ามันก็เป็นเรื่องที่ดีและดูจริงใจก็ไม่ผิดเลยถ้าคุณจะอินตามเขาได้

 

กาหัวขยี้ผม

 

แน่นอนว่ามันคงไม่ใช่เรื่องปกติที่ใคร ๆ จะอยากให้คนเห็นตัวเองในขณะที่กำลังเกาหัวหรือขยี้ผมมากนักเพราะนอกจากมันจะทำให้ดูหัวยุ่งเหยิงแล้วมันก็ยังเป็นท่าทางที่ดูไม่ Smart เอาซะเลยยกเว้นแต่ว่ามันจะเกิดขึ้นที่หน้ากระจกในห้องน้ำแต่ถ้าบังเอิญว่าท่าทางนี้มันไม่ได้เกิดขึ้นหน้ากระจกในห้องน้ำล่ะแต่มันดันมาเกิดขึ้นในตอนที่คุณกำลังสนทนากับเขาอยู่และคุณเองก็อาจจะกำลังถามคาดคั้นรอคอยหรือเร่งให้เขาคิดหรือทำอะไรอยู่มันคือภาษากายที่เขาอยากจะบอกคุณว่า “คิดไม่ออก…จะคาดคั้นแบบไหนก็ทำไม่ได้ในตอนนี้”

แม้ว่ามันอาจจะเป็นงานที่เร่งด่วนที่สุดหรือสถานการณ์ที่คับขันขนาดไหนแต่ถ้าเจอท่านี้เข้าไปความหวังที่จะบรรลุเป้าหมายของคุณก็อาจจะน้อยลงแล้วแหละ คุณอาจจะทำได้แค่ให้เวลาเขาแม้ว่ามันอาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้คุณหัวเสียมากขนาดไหนแต่มันคือความจริงที่ต้องยอมรับ เชื่อเถอะว่ายิ่งไปคาดคั้นมันยิ่งจะกดดันเขาจนทำให้ทุกอย่างอาจจะหนักหน้าไปกว่าเดิมก็เป็นได้ ให้เวลาเขาได้ตั้งสติสักพักมันอาจจะดีขึ้นในไม่ช้าก็ได้

 

  

รู้เขาแล้วจะไม่รู้เราได้อย่างไร

ที่พูดมาทั้งหมดเป็นสิ่งที่เรายกตัวอย่างถึงท่าทางภาษากายของคนอื่นที่คุณต้องเข้าไปมีปฏิสัมพันธ์กับเขาเท่านั้นแต่อย่าลืมสิว่าคุณเองก็มีภาษากายที่อาจจะถูกจับจ้องจากคนรอบข้างเหมือนกันแม้ว่าคุณอาจจะควบคุมสมองส่วนลิมบิกไม่ได้แต่คุณก็พอจะควบคุมท่าทางที่แสดงออกได้มาเพิ่ม Skills การวางท่าทางภาษากายให้ดูดีน่าเชื่อถือกันดีกว่าและแน่นอนว่ามันจะส่งผลดึงดูดสิ่งดีๆเข้ามาหาคุณอย่างแน่นอน

 

1. ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ

 

เอาจริงๆแม้ว่าสำนวนนี้ออกจะดูเก่าไปหน่อยแต่มันก็ยังเป็นความจริงอยู่เสมอในขณะที่คุณกำลังพูดคุยกับใครคุณควรจะสบตาเขาด้วยแววตาที่เขาจะรู้สึกได้ถึงความจริงใจเพราะการมองตาหรือที่เขาชอบเรียกกันว่า Eye Contact นั้นจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อมั่นในตัวคุณได้แบบอัตโนมัติเลยทีเดียวยิ่งถ้าทั้งการสนทนานั้นคุณไม่หลบตาเขาเลยแล้วล่ะก็รับรองเลยว่ามันจะสร้างผลลัพธ์ที่ดีให้กับคุณอย่างแน่นอน


การมี Eye Contact นั้นไม่ใช่จะมีประโยชน์แค่กับการทำงานของคุณเท่านั้นแต่มันมีประโยชน์กับความสัมพันธ์ส่วนตัวของคุณด้วยเช่นกันเพราะมันจะช่วยทำให้คนที่พูดคุยกับคุณรู้สึกได้รับถึงความใส่ใจ

 

 

2. การวางตัวของคุณสำคัญมาก

 

การวางตัวในที่นี้ขอใช้คำว่าเหมารวมทั้งกริยาท่าทางไปจนถึงการแต่งตัวและความสะอาดเรียบร้อยของคุณเพราะคุณอาจจะไม่รู้ว่าลึก ๆ แล้วจุดที่แต่ละคนเลือกที่จะมองคุณเป็นอันดับแรกเขาจะเลือกมองคุณที่อะไรสีเสื้อที่ใส่ความสะอาดของรองเท้าหนวดเคราโกนหรือเรียบร้อยดีไหมหรือคุณมีท่านั่งอย่างไรเมื่อเราคาดเดาการถูกมองได้ยากดังนั้นการเตรียมตัวไปให้ดีในทุกสถานการณ์ก็น่าจะเป็นสิ่งที่ปลอดภัยที่สุดกับคุณอย่างแน่นอน

 

 

3. อย่าเป็นเสือยิ้มยาก

 

มีหนุ่มๆหลายคนเลยที่เป็นคนหน้าตานิ่งๆแม้ในใจจะไม่มีอะไรแต่อาจจะทำให้คนไม่กล้าเขาหาพูดคุยกับคุณได้เพราะฉะนั้นแล้วอย่าลืมสังเกตรอบตัวหากมีใครมองหรือทำท่าจะทักทายพูดคุยก็ยิ้มให้เขาสักหน่อยจะเป็นการสร้างความดูเป็นมิตรให้คุณได้แต่อย่าแสร้งยิ้มเพราะแน่นอนว่าคนเห็นเขามักจะดูออกเลือกยิ้มด้วยความจริงใจอย่าเกร็งจนเกินไป

 

 

4. มือไม้อย่าขยับมาก

 

มือมันเหมือนจะไม่มีที่อยู่ที่เหมาะที่ควรเลยเวลาคุณจำเป็นจะต้องพูดคุยเจรจาอะไรกับใครจนบางครั้งมันก็ชี้นู้นหยิบนี่จับนั่นเขี่ยอะไรไปเรื่อยและแน่นอนคนย่อมดูออกว่าคุณประหม่าแต่ถ้าคุณจะเก็บมันล้วงกระเป๋ากางเกงตลอดเวลาแน่นอนว่ามันก็ดูไม่ค่อยน่าไว้ใจเท่าไรคุณแค่ไม่ต้องสนใจมันปล่อยมันไว้ข้างตัวแบบนิ่ง ๆ ตามธรรมชาติเพียงเท่านี้คุณก็จบปัญหามือจอมวุ่นวายได้แล้ว

 

 

5. อยากได้อะไรก็ทำแบบนั้น

 

อยู่บนหลักของการคิดถึงใจเขาใจเราแล้วมันจะเป็นข้อคิดที่คอยนำทางคุณได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียวถ้าคุณไม่อยากจะเกร็งและอึดอัดคุณก็ไม่ควรไปแผ่ความเกร็งและอึดอัดในพื้นที่เหล่านั้นและถ้าคุณอยากได้รอยยิ้มคุณก็ต้องยิ้มให้เขาก่อนมันไม่ใช่เรื่องของศักดิ์ศรีก่อนหลังแต่มันคือเรื่องของความเป็นมืออาชีพในด้านความสัมพันธ์คนที่มีความกระตือรือร้นความจริงใจและคอยใส่ใจคนอื่นอยู่เสมอมักจะเป็นคุณสมบัติและภาษากายที่คนอื่นสามารถสัมผัสได้และพร้อมที่จะพัฒนาความสัมพันธ์กับคุณอย่างแน่นอน

 

 

อย่าลืมว่าความสัมพันธ์ไม่สามารถเกิดได้ฝ่ายเดียวมันจำเป็นต้องมีส่วนร่วมจากคนอื่นด้วยการคอยสังเกตคนอื่นๆถึงภาษากายของเขาเสมอทำให้คุณรู้ทันและคิดวิธีรับมือกับสิ่งเหล่านั้นได้ทันทำให้คุณมีโอกาสที่ดีที่จะทำให้คนประทับใจในตัวคุณได้เสมอแถมยังช่วยให้คุณเป็นความอบอุ่นใจจากพวกเขาได้อีกด้วยและแน่นอนว่าสิ่งดี ๆ เหล่านี้จะดึงดูดสิ่งดี ๆ มาให้คุณเช่นเดียวกัน